เหรียญหลวงตาผนึก สิริมงฺคโล วัดป่าเขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์ ปี 2554 สร้างอุโบสถ

เหรียญหลวงตาผนึก สิริมงฺคโล วัดป่าเขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์ ปี 2554 สร้างอุโบสถ
เหรียญหลวงตาผนึก สิริมงฺคโล วัดป่าเขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์ ปี 2554 สร้างอุโบสถเหรียญหลวงตาผนึก สิริมงฺคโล วัดป่าเขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์ ปี 2554 สร้างอุโบสถ
รหัสสินค้า KWSNR5401
หมวดหมู่ 60. พระเครื่อง จังหวัด สุรินทร์
ราคา 650.00 บาท
สถานะสินค้า พร้อมส่ง
ลงสินค้า 23 มี.ค. 2562
อัพเดทล่าสุด 13 ก.ค. 2568
จำนวน
เหรียญ
หยิบลงตะกร้า
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay
ประวัติ หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล วัดป่าเขวาสินรินทร์ จ. สุรินทร์

หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล วัดป่าเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ท่านเป็นพระผู้มีจริยาวัตรเรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตน มีความเมตตาในการสงเคราะห์ญาติโยมผู้มากราบนมัสการท่านมีอยู่มิได้ขาด ท่านมีรอยยิ้มอันเบิกบาน เป็นที่ประทับใจของผู้มาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ นอกจากนี้ท่านยังเป็นพระผู้ว่านอนสอนง่าย มีความกตัญญูและเคารพเชื่อฟังคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ยิ่งชีวิต

ตลอดชีวิตของท่านได้มีพระเถรานุเถระต่าง ๆ ให้ความอนุเคราะห์ท่านอย่างสม่ำเสมอ อาทิเช่น พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดุลย์ อตุโล) วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์, พระโพธิธรรมาจารย์เถร (หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ) วัดป่าเขาน้อย จังหวัดบุรีรัมย์, พระราชวรคุณ วัดบูรพาราม (เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์), และพระครูภาวนาปัญญาภรณ์ (พระอาจารย์สุพร อาจารธมฺโม) วัดป่าประสาทจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ เป็นต้น


โดยเฉพาะหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ นั้นถือได้ว่าเป็นครูบาอาจารย์องค์สำคัญองค์หนึ่งของท่าน หลวงตาได้ยกย่องและใหความเคารพรักหลวงปู่สุวัจน์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของข้ออรรถข้อธรรมทั้งหลาย หลวงตาต้องกราบขอความเมตตาให้หลวงปู่สุวัจน์พิจารณาให้คำแนะนำทุกครั้งไป หลวงปู่สุวัจน์เองก็ได้ให้ความเมตตากับหลวงตาเป็นอย่างมาก โดยก่อนที่หลวงปู่สุวัจน์จะละสังขารไปในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ท่านได้บอกกล่าวกับคณะศิษยานุศิษย์ของท่านให้ทราบถึงภูมิธรรมของหลวงตาผนึก สิริมงฺคโล ไว้ว่า ‘ให้ดูแลหลวงตาแก่ ๆ รูปนี้ให้ดีนะ ถึงจะมีเงินมีทองมากมายขนาดไหน ก็หาซื้อไม่ได้สำหรับหลวงตาแก่ ๆ รูปนี้นะ’

ชาติภูมิ
หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล ท่านมีนามเดิมว่า ‘ผนึก โพยมแจ่ม’ เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๖๑ ณ หมู่บ้านโชค หมู่ ๓ ตำบลเขวาสินรินทร์ (ปัจจุบัน คือ อำเภอเขวาสินรินทร์) อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ โยมบิดาของท่านชื่อ ‘นายพุ่ม’ โยมมารดาชื่อ ‘นางเอี่ยม’ ท่านเป็นบุตรคนที่ ๓ และเป็นบุตรชายคนเดียวของครอบครัว ในจำนวนพี่น้อง ๔ คน ดังนี้

คนที่ ๑ ชื่อ นางเป๊ะ (ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว)
คนที่ ๒ ชื่อ นางโปม (ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว)
คนที่ ๓ หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล
คนที่ ๔ ชื่อ นางปอม (ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว)

มุ่งสู่เพศพรหมจรรย์ครั้งแรก
เมื่อถึงวัยอันควร ท่านได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดเขวา (หรือวัดโพธิ์รินวิเวก ในปัจจุบัน) จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ต่อมาเมื่อท่านมีอายุได้ ๑๙ ปี ท่านได้เข้าบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดโพธิ์รินวิเวก บ้านเขวาสินรินทร์ ตำบลเขวาสินรินทร์ (ปัจจุบัน คือ อำเภอเขวาสินรินทร์) อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เป็นเวลา ๑ พรรษา จากนั้นจึงลาสิกขาออกมา ต่อมาเมื่ออายุครบ ๒๑ ปี ท่านได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในมหานิกาย ณ พัทธสีมาเดิม ที่วัดโพธิ์รินวิเวก เมื่อบวชได้เป็นเวลา ๔ พรรษา ท่านจำเป็นต้องลาสิกขาออกมา เนื่องจากบิดามารดาต้องการให้ท่านซึ่งเป็นบุตรชายคนเดียวของครอบครัวออกมาช่วยแบ่งเบาภาระในการทำนา ด้วยความกตัญญูรู้คุท่านจึงยอมทำตามความปรารถนาของบิดาและมารดา


ชีวิตการครองเรือน
ต่อมาเมื่อโยมบิดาและมารดาของท่านเห็นว่าท่านถึงวัยอันควรที่จะต้องมีคู่ครองแล้ว จึงได้จัดหาคู่ครองให้ท่านตามประเพณี ท่านได้แต่งงานใช้ชีวิตการครองเรือนกับคุณยายปิม (ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน และมีบุตรธิดาด้วยกันรวมทั้งหมด ๕ คน โดยคนแรกเป็นหญิง (ถึงแก่กรรมตั้งแต่วัยเยาว์) ส่วนอีก ๔ คนนั้นเป็นชายทั้งสิ้นและยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับชีวิตในเพศฆราวาสของหลวงตานั้น ท่านดำเนินชีวิตแบบมักน้อย สันโดษ แม้จะต้องทำมาหากินแบบชาวบ้านทั่วไป ซึ่งมักหนีไม่พ้นการจับปลา ท่านก็ไม่เต็มใจกับการฆ่าสัตว์นัก แต่ท่านจำเป็นต้องทำเพื่อเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัว หากวันไหนท่านจับปลาได้น้อย ท่านก็จะบอกว่า 'นี่ วันนี้ฉันบาปน้อย' แต่อย่างไรก็ตามท่านมักหาโอกาสเข้าวัดทำบุญและปฏิบัติทำความเพียรควบคู่กันไปอยู่เสมอ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทุก ๆ วันพระ ท่านจะสั่งให้ลูก ๆ ของท่านอยู่เฝ้าบ้านเพื่อเลี้ยงควาย แล้วท่านก็จะหยุดทำนาเพื่อไปรักษาศีลบำเพ็ญภาวนาที่วัด ท่านปฏิบัติทำความเพียรมาเช่นนี้มามิได้ขาด ไม่ว่าจะเป็นช่วงออกพรรษาหรือเข้าพรรษาก็ตาม ท่านได้บอกกับลูก ๆ เสมอว่า
'พ่อไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ต้องการแต่ว่าพอได้กินได้ใช้พอ ไม่ต้องการร่ำรวยอะไรหรอก ชาตินี้ขอปฏิบัติสร้างบารมีไปเรื่อย ๆ ขอให้มึงอยู่ที่บ้าน แล้วเลี้ยงควายเลี้ยงอะไรให้มันกินอิ่มหนำรำราญ ไม่ใช่วันพระแล้วก็ยังจะให้มันไปทำนาอีก กลัวมันจะเหนื่อย'
แม้กระทั่งในยามปกติที่ว่างเว้นจากการทำนาในช่วงกลางวัน ท่านมักใช้เวลาที่เหลือของท่านในการปฏิบัติความเพียรอยู่เสมอ บุตรชายคนโตของหลวงตาได้เล่าถึงเรื่องนี้ให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งในสมัยที่ตนยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ตนมักติดตามผู้เป็นพ่อไปนอนค้างคืนในทุ่งนาอยู่เสมอ มีอยู่คืนหนึ่งในช่วงฤดูหนาว ผู้เป็นพ่อได้ก่อไฟผิงเพื่อคลายความหนาวให้ตนได้นอนหลับสบาย พอตกกลางดึกตนบังเอิญตื่นขึ้นมา ก็เห็นผู้เป็นพ่อเดินจงกรมอยู่บนคันนากลับไปกลับมา ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาของเด็ก ตนจึงได้ถามผู้เป็นพ่อว่า 'พ่อทำอะไร ทำไมเอาแต่เดินไปเดินมา' ท่านไม่พูดอะไรมากเพียงแต่ตอบสั้น ๆ ว่า 'ทำความสงบ'
ต่อมาเมื่อหลวงตาเห็นว่าลูก ๆ ของท่านโตกันหมดแล้ว ซึ่งบางคนก็มีครอบครัวไปแล้ว ท่านจึงได้ปรารภกับภรรยาว่าอยากจะขอบวชอีกครั้ง ผู้เป็นภรรยาจึงบอกว่า ให้ท่านอยู่ช่วยทำงานเพื่อใช้หนี้สินที่มีอยู่ของครอบครัวให้หมดเสียก่อน แล้วจะรับเป็นเจ้าภาพดูแลการบวชให้เอง แต่ต่อมาภายหลังภรรยาของท่านก็ได้ถึงแก่กรรมไปเสียก่อน
แม้ว่าการจัดการงานศพของภรรยายังไม่เสร็จเรียบร้อยดี ภายในจิตใจของท่น ได้แต่คิดคำนึงถึงเรื่องการออกบวชอยู่ตลอดเวลา ท่านเห็นว่าตอนนี้เป็นโอกาสอันดีแล้วที่จะได้ออกบวชตามที่เคยตั้งใจไว้ แต่ก็ยังติดอยู่ที่ว่าท่นยังมีหนี้สินที่ยังค้างอยู่ ต่อมาเมื่อจัดการงานศพของผู้เป็นภรรยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลูก ๆ ของท่านจึงอาสาช่วยจัดการหนี้สินทั้งหมดให้

เข้าสู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง
หลังจากที่ลูก ๆ ของท่านได้ช่วยกันใช้หนี้ของครอบครัวจนหมดสิ้นแล้ว ท่านจึงได้เข้าสู่เพศบรรพชิตอีกครั้ง ในขณะที่ท่านมีอายุได้ ๖๐ ปี โดยอุปสมบทในธรรมยุตนิกาย ณ พัทธสีมา วัดบูรพาราม พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ ๒๘ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ เวลา ๑๓.๔๕ น. ได้รับฉายาว่า สิริมงฺคโล โดยมี

พระรัตนากรวิสุทธิ์ วัดบูรพาราม (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ต่อมาภายหลังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชวุฒนาจารย์) เป็นพระอุปัชฌาย์
พระครูสถิตสารคุณ วัดบูรพาราม (หลวงพ่อเสถียร สถิโร ภายหลังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระรัตนากรวิสุทธิ์) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระครูนันทปัญญาภรณ์ วัดบูรพาราม (ภายหลังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชวรคุณ เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ในปัจจุบัน) เป็นพระอนุสาวนาจารย์
โดยใน ๔ พรรษาแรก หลวงตาได้พักจำพรรษา ณ วัดต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (สำหรับในพรรษาที่ ๕ เป็นต้นไปจนกระทั่งท่านมรณภาพ ท่านได้อยู่จำพรรษา ณ วัดป่าเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์เป็นส่วนใหญ่)

พรรษาแรก
หลังจากที่ได้อุปสมบทเรียบร้อยแล้ว ในปีนั้นท่านได้เดินทางกลับมาจำพรรษา ณ วัดหนองเวียน หมู่บ้านโชค ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ในบริเวณบ้านเกิดของท่านเป็นเวลา ๑ พรรษา

พรรษาที่ ๒
ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านได้เดินทางไปกราบถวายตัวเป็นศิษย์เพื่อจำพรรษาและศึกษาธรรมะกับหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ณ วัดถ้ำศรีแก้ว จังหวัดสกลนคร เป็นเวลา ๑ พรรษา
หลวงตาท่านเล่าว่าเมื่อครั้งที่อยู่จำพรรษาอยู่ ณ วัดถ้ำศรีแก้วนี้แม้ว่าหลวงตาจะเป็นพระผุ้นอยในขณะนั้น หลวงปู่สุวัจน์ไม่เคยถือเนื้อถือตัวกับท่านเลย แต่ยังกลับให้ความเป็นกันเองและอีกทั้งยังคอยดูแลช่วยเหลือเมตตาหลวงตาเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ดังจะเป็นได้จากในเวลาฉันจังหันหลวงตาซึ่งเป็นพระผู้สูงวัยและมีรูปร่างผ่ายผอมนั่งอยู่ท้ายแถวเพระมีพรรษาน้อย เมื่อมีญาติโยมมาถวายนมหรือโอวัลติต หลวงปู่สุวัจน์จะให้โยมส่งลัดให้หลวงตาอยู่เสมอ หรือแม้กระทั่งในเวลาที่หลวงตากำลังกวาดตาด (กวาดลานวัด) จากบริเวณภายในตัววัดมาถึงบริเวณที่ติดกับถนนซึ่งนับได้ว่ามีระยะทางไกลพอสมควร หลวงปู่สุวัจน์ท่านก้ให้ความเมตตา คอยเดินให้กำลังใจหลวงตาตลอดทาง อีกทั้งยังพูดหยอกล้ออย่างเป็นกันเองว่า 'เอาสู้ ๆ หลวงตาสู้ ๆ'

พรรษาที่ ๓
ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านกราบลาหลวงปู่สุวัจน์ เพื่อขอเดินทางกลับมายังจังหวัดสุรินทร์เพื่อจัดกรแบ่งทรัพย์สินมรดกของท่านให้แก่ลูก ๆ เมื่อดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านได้จำพรรษา ณ วัดหนองเวียน จังหวัดสุรินทร์ อีกครั้งหนึ่ง

พรรษาที่ ๔
ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ภายหลังเมื่อถึงเวลาออกพรรษาแล้ว ท่านมีความตั้งใจที่จะเดินทางกลับไปอยู่จำพรรษา เพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมเพิ่มเติมกับหลวงปู่สุวัจน์ ณ วัดถ้ำศรีแก้ว จังหวัดสกลนคร อีกครั้ง ในการเดินทางครั้งนี้ท่านได้ออกเดินทางจากวัดหนองเวียน จังหวัดสุรินทร์ โดยมีหลวงตาดุน ซึ่งเป็นพระผู้สูงวัยเช่นเดียวกับท่าน แต่มีอายุพรรษามากกว่าเล็กน้อยร่วมเดินทางไปด้วย ท่านทั้งสองมีความตั้งใจที่จะเดินทางโดยไม่เร่งรีบ ในระหว่างทางจึงได้แวะพัก ณ บริเวณป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในบริเวณที่ไม่ไกลจากอำเภอเขวาสินรินท์ในปัจจุบันเท่าไรนัก

วิธีการชำระเงิน

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาปตท.ถนนกาญจนาภิเษก 2 ออมทรัพย์

JEWELRY-ANTIQUE-AMULET

ระบบสมาชิก

สถิติร้านค้า

หน้าที่เข้าชม4,444,762 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด3,381,060 ครั้ง
เปิดร้าน4 ก.พ. 2558
ร้านค้าอัพเดท5 ก.ย. 2568

ติดต่อเรา

ติดตามสินค้า

พูดคุย-สอบถาม