พระราชธานินทราจารย์ (เจิม จนฺทโชติ) อดีตเจ้าอาวาสวัดบรมวงศ์อิศรวราราม พระนครศรีอยุธยา
วัดบรมวงศ์อิศรวรารามวรวิหาร เดิมชื่อ วัดทะเลหญ้า เป็นวัดโบราณตั้งอยู่ริมคลองใกล้กับเพนียดคลองช้าง พวกกรมพระคชบาลสร้างขึ้นตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีต่อมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๙ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ได้เสด็จไปทอดพระเนตรการคล้องช้างที่พระนครศรีอยุธยาทรงเห็นว่าเป็นวัดที่ชำรุดทรุดโทรม จึงทรงบริจาคเงินบูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์วิหารของวัดใหม่ทั้งหมด แล้วทรงถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานชื่อใหม่ว่า "วัดบรมวงศ์อิศรวราราม" พร้อมทั้งเสด็จพระราชดำเนินตัดลูกพัทธสีมา พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมายังวัดบรมวงศ์อิศรวรารามวรวิหารถึง ๘ ครั้ง
ใน พ.ศ.๒๔๔๔ หลังจากสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราชปรปักษ์สิ้นพระชนมแล้ว ๑๕ ปี ปรากฏว่า ผนังอุโบสถด้านทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ได้ทรุด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานความช่วยเหลือซ่อมแซม ส่วนเสนาสนะอื่น ๆ นั้น พระยาปริยัติวงศาจารย์ได้บูรณะปฏิสังขรณ์เรื่อยมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิริมงคลสำคัญของวัด คือ ประวัติศาสตร์ของวัดกับรัชกาลที่ ๕ มีรูปหล่อเคารพพระองค์ในวิหาร นอกจากนี้ยังมีพระตำหนักของพระองค์เป็นที่เก็บรูปภาพโบราณและพระราชประวัติตั้งแต่ประสูติจนถึงสวรรคต
วัดบรมวงค์ในอดีตก็เป็นอีกสำนักหนึ่งที่ไม่แพ้วัดประดู่โรงธรรมเเช่นกันครับ ด้วยเหตุที่สมัยก่อน วัดโบราณแห่งนี้ใช้เป็นสำนักเรียนวิชา ที่เรียกว่า วิชาตักกสิลา ขอขยายความวิชานี้หน่อยครับว่า เป็นวิชาเรียนเสริม คือใครที่ต้องการจะรู้เรื่องใดแล้วติดขัด ไม่ว่าจะไปล่ำเรียนมาจากที่ใดก็ตาม ไม่สามารถเข้าถึงความรู้แขนงนั้นๆได้ คล้ายๆ ว่าความรู้ในเรื่องนั้นๆ ยังบกพร่องอยู่ เมื่อมายังวัดแห่งนี้แล้ว ก็สามารถศึกษาเล่าเรียนให้เข้าใจแจ่มแจ้งในแขนงนั้นๆได้ คล้ายกับว่าทำความใคร่รู้ในเรื่องนั้นๆให้เต็มเปี่ยมได้ตามความต้องการ ทำนองนี้แหละครับ เมื่อเข้าใจคำว่า ตักกสิลา กันแล้ว ก็คงไม่ต้องกล่าวสรรพคุณของวัดนี้ให้มากความแล้วว่าสุดยอดแค่ไหน โดยจะกล่าวก่อนว่า ในอดีตวัดแห่งนี้ ยังมีเกจิเก่าอีกหนึ่งท่านครับ ซึ่งถ้าเอ่ยชือกันแล้ว คนอยุธยาหลายท่านเป็นต้องคุ้นหูกันอย่างแน่นอน ท่านนี้ก็คือ พระปริยัติวงค์ศาจารย์ (วิญญู) ซึ่งต่อมาได้เลื่อนเป็น พระโพธิวงศาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดบรมวงค์นั่นเองครับ ท่านเป็นเกจิยุคสมัยเดียวกับหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ซึ่งหากจะกล่าวได้ว่าทั้งสองท่านนี้เป็นพระสหายธรรมร่วมกันก็ว่าได้ และอีกท่านหนึ่งก็คือ หลวงพ่อไวทย์ วัดบรมวงศ์ พระหมอยาแห่งทุ่งสวนพริก ท่านเป็นหนึ่งในสุดยอดเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ในยุคหลังปี ๒๕๐๐ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของบรรดาชาวพุทธ และนักนิยมวัตถุมงคลในยุคนั้น แม้หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ท่านยังกล่าวชม หลวงพ่อไวทย์ ว่าเป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ขนาดที่ว่าในวันที่หลวงพ่อไวทย์ท่านถึงแก่กาลมรณภาพ หลวงปู่ดู่ท่านยังกล่าวให้ไปเอาน้ำรดสังขารองค์ท่านมาอาบกิน เพื่อให้เกิดเป็นสิริมงคล
ต้องขอบอกก่อนเลยว่าท่านนี้ไม่ธรรมดาครับ มีดีกรีเป็นถึงเจ้าคณะอำเภอ เกจิสายเหนียวและคงกระพันธ์เป็นที่สุดอีกท่านหนึ่งของกรุงเก่า ที่กล่าวได้เช่นนี้ก็เพราะว่า ท่านนั้นเป็นศิษย์ที่ได้ล่ำเรียนมาจาก หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ตัวจริง และยังเคยศึกษาวิชาจาก หลวงพ่อฉาย แห่งวัดพนัญเชิงอีกด้วย ถือได้ว่าศิษย์สายนี้ เรื่องเหนียวและคงกระพันธ์ชาตรี เป็นที่เลื่องลือครับ ในเรื่องวัตถุมงคลท่านได้สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกสมัยคราวที่ท่านปกครองอยู่วัดมณฑปแล้วครับ แม้ราคาเช่าหาไม่หวือหวาแต่พุทธคุณหายห่วงแน่นอนครับ และพบเจอไม่ค่อยบ่อยนัก เท่าที่พบเห็นพระเครื่องของท่านมีอยู่หลักๆ คือ
- เหรียญเสมา เนื้อทองแดง กะไหล่ทองหลังยันต์ ปี๐๙
- เหรียญอาร์ม เนื้อทองแดงชุบนิคเกิล แบบปั้มสกรีน หลังเรียบ ข้างเลื่อย มีทั้งลงสีขอบสีแดง และสีเหลือง ปี๐๙ คาดว่าน่าจะสร้างไว้จำนวนจำกัด
-เหรียญกลม เนื้อทองแดงชุบนิคเกิล และเนื้อทองแดงผิวไฟ ปี๑๓
ที่ผมยิบยกเรื่องราวของท่านมานำเสนอในครั้งนี้ เพียงเพื่อให้ทราบว่าอยุธยาบ้านเรายังมีเกจิเก่งเงียบอีกหลายท่าน หากไม่เอ่ยถึงเสียเลยก็อาจจะทำให้ลบลืมกันไป ตามกาลเวลา
ข้อมูลอโยธยาคลาสสิค