เหรียญ หลวงพ่อตะเคียนทอง วัดเสบุญเรือง จ.สกลนคร

เหรียญ หลวงพ่อตะเคียนทอง วัดเสบุญเรือง จ.สกลนคร
เหรียญ หลวงพ่อตะเคียนทอง วัดเสบุญเรือง จ.สกลนครเหรียญ หลวงพ่อตะเคียนทอง วัดเสบุญเรือง จ.สกลนคร
รหัสสินค้า SBR01
หมวดหมู่ 58.พระเครื่อง จังหวัด สกลนคร
ราคา 750.00 บาท
สถานะสินค้า พร้อมส่ง
ลงสินค้า 6 ก.ค. 2561
อัพเดทล่าสุด 22 ก.ค. 2568
จำนวน
เหรียญ
หยิบลงตะกร้า
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay
ประวัติหลวงพ่อตะเคียนทอง
วัดเสบุญเรือง ต.วานรนิวาส อ.วานรนิวาส
จังหวัดสกลนคร

 หลวงพ่อตะเคียนทอง  จัดได้ว่าเป็นพระพุทธรูปที่ทำจากไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ซึ่งจะขอนำประวัติการสร้างอันมหัศจรรย์มาบอกต่อท่านทั้งหลายตามที่ได้รู้ได้เห็นมาดังนี้         ย้อนหลังไปเมื่อ 
พ.ศ. ๒๔๖๐  ได้มีพระอาจารย์องค์หนึ่งนามว่าพระอาจารย์สงค์     เป็นคนอำเภอเมือง  จังหวัดสกลนคร
ได้เดินทางมาจำพรรษาที่วัดเสบุญเรือง  พระอาจารย์สงค์ท่านเป็นพระเถระยุคเดียวกันกับพระอาจารย์มั่น  พระอาจารย์เสาร์ แต่ท่านละสังขารไปก่อนพระอาจารย์มั่นหลายปี ผู้คนในรุ่นหลังจึงไม่รู้จักชื่อเสียงของท่านเท่าที่ควร ท่านพระอาจารย์สงค์เมื่อมาถึงก็เห็นสภาพวัดเสบุญเรืองในยุคนั้นทรุดโทรมไปมาก ท่านจึงพาญาติโยมพร้อมทั้งพระเณรในวัดทำการบูรณะปฎิสังขรณ์เสนาสนะกุฎิต่าง ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง พอเสร็จจากทางด้านบูรณะปฎิสังขรณ์แล้วท่านจึงคิดว่า ควรจะสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ขึ้นไว้เป็นสมบัติของวัดสักองค์ จะได้เป็นสง่าราศีแก่วัดสืบต่อไปในภายภาคหน้า  แต่ในยามนั้นบ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะเข้าสู่สงครามครั้งที่  ๑ ข้าวยากหมากแพงจากภาวะดังกล่าวหากจะสร้างพระพุทธรูปด้วยอิฐด้วยปูนก็จะเป็นการรบกวนปัจจัยชาวบ้านให้เดือดร้อนเข้าไปอีก การสร้างพระของท่านในครั้งนั้นจึงเพ่งเล็งไปที่ต้นไม้เป็นสำคัญ เนื่องจากต้นไม้ใหญ่ในสมัยนั้นยังหากันได้ไม่ยากท่านจึงแจ้งความประสงค์ของท่านต่อญาติโยมซึ่งทุกคนก็มีความเห็นพ้องต้องกัน ท่านทั้งหมดจึงมอบหน้าที่ให้มัคทายก ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่ชาวบ้านให้ความนับถือในยุคนั้น       อันประกอบด้วย        นายพรหม  ทิพย์สุริย์,
นายบัวศรี  ทิพย์สมบัติ, นายสีทา , นายสีโห , และนายเป  โลกวิไล , ให้พากันออกเสาะแสวงหาต้นไม้ขนาดใหญ่เหมาะ ๆ สักต้นเพื่อที่จะได้ตัดโค่นมาแกะสลักทำเป็นพระพุทธรูปได้  ก็เผอิญที่ดอนอุโมงค์ตำบลนาคำ  อำเภอวานริวาส  จังหวัดสกลนคร  ซึ่งเป็นป่าต่อจากหัวนาของนายเป  โลกวิไลนั้น ได้มีต้นตะเคียนใหญ่ประมาณ  ๕ คนโอบได้อยู่ต้นหนึ่ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓ เมตร  ยาว ๒๐ เมตร ดูเหมือนจะเหมาะกว่าต้นไม้อื่น ๆ ที่เคยเห็นมา แต่ต้นตะเคียนต้นนี้ชาวบ้าน ๓ บ้านคือ บ้านดอนมุย  บ้านหนองขุ่น  บ้านน้อยนาคำ  ต่างให้ความเคารพนับถือสักการะกราบไหว้กันมานับ ๒ - ๓ ชั่วคน เพราะเชื่อกันว่าเป็นที่สิงสถิตของผีสางนางไม้เหล่ารุกขเทวดา  ท่านอาจารย์สงค์จึงเกิดสนใจออกไปดูต้นพญาตะเคียนต้นนั้นด้วยตนเองพอไปถึงก็เห็นที่โคนต้นมีศาลไม้เก่า ๆ และที่บนศาลมีดอกไม้ธูปเทียนวางสุมกันอยู่มากมายทั้งเก่าและใหม่แสดงให้เห็นว่า ได้มีชาวบ้านแวะเวียนมาเช่นบวงสรวงมิได้ขาดสาย ท่านพระอาจารย์สงค์รู้สึกพอใจพญาตะเคียนต้นนี้มากได้ตัดสินใจว่าจะต้องเอาไปทำ พระพุทธรูปให้ได้ จึงเรียกประชุมชาวบ้านทั้ง ๓ หมู่บ้านแล้วแจ้งความประสงค์ของตนพร้อมทั้งบอกคุณประโยชน์ในแง่ต่าง ๆ หากนำต้นตะเคียนไปทำเป็นพระพุทธรูป ในที่สุดชาวบ้านทั้งหมดต่างเห็นด้วยเป็นอย่างดี แต่ส่วนใหญ่มีข้อแม้ว่าจะไม่ขอร่วมในพิธีเพราะกลัวอาเพศจากภูตผีกระทำเอาหากอาจารย์ไม่กลัวอำนาจภูตผีหรือเจ้าป่าเจ้าเขา จะสำแดงเดชกระทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยหรือเสียชีวิตก็ขอนิมนต์ตามต้องการเถิด จนกระทั่งออกพรรษาเม็ดฝนเริ่มขาดท่านพระอาจารย์สงค์ได้เลือกเอาวันเพ็ญเดือน ๑๒ คือวันลอยกระทงเป็นวันเริ่มทำพิธี  โดยในเช้าวันนั้นท่านได้พาญาติโยมบางส่วนจากทั้ง ๓ หมู่บ้านรวมทั้งญาติโยมอีกส่วนหนึ่งจากในตลาดอำเภอวานรนิวาส ที่ต้องการจะเข้าร่วมในพิธีจัดหาเครื่องเช่นคาวหวาน เหล้าไห ไก่ต้มดอกไม้ธูปเทียนออกไปยังป่าดอนอุโมงค์และทำการปัดกวาดรอบ ๆ โคนตะเคียน จากนั้นทำพิธีขอด้วยพิธีอัญเชิญรุกขเทวาเหล่านั้นให้ลงจากต้นตะเคียนไปหาที่อยู่ใหม่พร้อมจัดเครื่องคาว - หวานเช่นสังเวย ในคืนนั้นเองท่านพระอาจารย์สงค์มิได้กลับวัดแต่ได้ปักกลดเข้านั่งสมาธิแผ่เมตตาอยู่ตรงหน้าศาลใต้ต้นตะเคียนนั้นจนตลอดคืน สำหรับชาวบ้านก็ทยอยกลับกันหมดคงเหลือแต่มัคทายก ๕ คนข้างต้นที่ยังนอนเฝ้าพระอาจารย์ในป่านั้นทั้งคืน พระอาจารย์สงค์นั้งแผ่เมตตาจิตอยู่ในกลดเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืนเต็ม ๆ โดยที่ท่านมิได้เเตะต้องข้าวน้ำเลยพวกเทวดาชั้นต่ำที่มีวิมานอยู่บนต้นไม้นั้นจึงยอมสยบหลีกทางและในคืนที่ ๗ อันเป็นคืนสุดท้ายตรงกับวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒  จะเป็นการข่มขวัญสำแดงเดชหรือว่าจะเป็นเพราะรุกขเทวาเหล่านั้นเกิดศรัทธาในตัวพระอาจารย์
ได้เกิดเหตุมหัศจรรย์คือตั้งแต่ตอนหัวค่ำเป็นต้นไปท้องฟ้าโปร่งปลอดหมู่เมฆ ดวงดาวพราวพร่างเต็มฟ้า พอใกล้ ๒ ยาม พระจันทร์ข้างแรมครึ่งซีกก็โผล่เพิ่มความสว่างขึ้นมาเหนือทิวไม้ พอเข้ายาม ๓ บรรยากาศนั้นก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มลมป่าพัดกรรโชกมาเป็นระยะท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มกระหึ่มครืน ๆ ลมโหมกระหน่ำหนักขึ้นป่าทั้งป่าป่วนปั้นอื้ออึงไปทั่วทันใดนั้นฝนลูกเห็บก็โปรยลงมายังกับห่ากระสุนลมป่าห่าฝนพิ่มความแรงขึ้นเป็นทวี พระอาจารย์สงค์นั่งสงบเปียกโชกอยู่ในกลด ส่วนโยมทั้ง ๕ ก็ถูกลมฝนกระหน่ำเอาจนเพิงหมาแหงนกระจุยกระจายปลิวว่อน นั่งอยู่ใกล้ ๆ พระอาจารย์เหตุการณ์เป็นอยู่เช่นนั้นพักใหญ่  ต้นตะเคียนเริ่มโงนเงนแล้วเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตะเคียนยักษ์ต้นนั้นได้ล้มครืนลงเสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าถล่มทลายและก็ล้มลงทางตรงกันข้ามกับที่พระอาจารย์ปักกลดอยู่ พอต้นตะเคียนใหญ่ล้มแล้วลมป่าอันน่าระทึกก็พลอยถอยห่างสร่างซาแล้วสงบลงก็เป็นเวลาสว่างพอดี การกระทำของพระอาจารย์สงค์กอปรกับสิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นทำเอาชาวบ้านทั่วสารทิศต่างชื่นชมในบารมีของท่านที่ต้นตะเคียนล้มลงมาเองโดยไม่ต้องตัด
เมื่อได้ต้นไม้ใหญ่สมดังใจแล้วท่านก็ได้พาญาติโยม  ทั้งพระหนุ่มเณรน้อยออกไปตั้งทัพแรมคืนในป่านั้นช่วยกันตัดต้นตะเคียนนั้นออกเป็น ๓ ท่อนให้มีส่วนสัดลดหลั่นกันไปตามความเหมาะสมแล้วช่วยกันถากแกะสลักแปรเปลี่ยนไม้นั้นให้เป็นพระพุทธรูปปางสะดุ้ง ๓ องค์  ( ปางมารวิชัย ) พระพุทธรูปองค์ใหญ่สุดขนาดหน้าตักกว้าง ๓ เมตร สูง ๕ เมตรเศษโดยท่านเป็นผู้นำในการออกแบบและแกะสลักทั้งหมดทำอยู่ ๓ เดือน ทุกอย่างจึงเสร็จสมบูรณ์ พอเสร็จแล้วขั้นต่อไปก็คือการนำองค์พระเข้าไปประดิษฐานยังวัดเสบุญเรือง เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีรถราสำหรับจะเคลื่อนย้ายอย่างทุกวันนี้ครั้นจะใช้ช้างลากเหมือนลากท่อนชุง ก็ดูไม่เหมาะสมจึงใช้วิธีทำล้อเลื่อนขนาดใหญ่ขึ้นแล้วขอร้องให้ชาวบ้านเมืองอันมีนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านช่วยบอกกล่าวป่าวร้องขอแรงชาวบ้านให้มาช่วยทำการชักรอก ใช้เวลาเคลื่อนย้ายอยู่ ๑๕ วันจึงสำเร็จ แล้วทำพิธีพุทธาภิเสกสมโภชน์ ณ วัดเสบุญเรือง ๓ วัน ๓ คืน ในช่วงทำพิธีพุทธาภิเสกนั้นเกิดนิมิตมีดวงไฟพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า  พระพุทธรูปสร้างจากส่วนโคนต้นประดิษฐานอยู่ที่วัดเสบุญเรือง  ตำบลวานรนิวาส  อำเภอวานรนิวาส  จังหวัดสกลนคร และเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ ทางวัดได้ทำการบูรณะใหม่โดยการสร้างองค์ใหม่ครอบองค์เดิมเนื่องจากองค์เก่าทรุดโทรมไปตามกาลเวลาดังที่เห็นในปัจจุบัน ส่วนพระพุทธรูปองค์ที่ ๒ ที่สร้างจากส่วนกลางของลำต้นประดิษฐานอยู่ที่วัดบ้านขุนภูมิ  ตำบลเดื่อศรีคันไชย  อำเภอวานรนิวาส  จังหวัดสกลนคร โดยได้ทำการบูรณะสร้างองค์ใหม่ครอบองค์เดิมแล้วเช่นกัน  ส่วนพระพุทธรูปองค์ที่ ๓ ที่สร้างจากส่วนปลายนั้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๔ ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานอยู่ที่วัดบ้านโพธิ์ตาก  ตำบลเดื่อศรีคันไชย  อำเภอวานรนิวาส  จังหวัดสกลนคร ยังคงรูปไว้เหมือนตอนสร้างครั้งแรกทุกประการ
 หลวงพ่อตะเคียนทองเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวอำเภอวานรนิวาสให้ความเคารพเชื่อถือสืบทอดกันมานมนานอย่างไม่มีเสื่อมคลายใครมีความทุกข์ร้อนก็มักจะไปเสี่ยงทายอฐิษฐานบนบานขอพรมิขาดสาย       ก็มักจะสัมฤทธิ์ผลในเจตจำนงด้วยกันแทบทุกราย     ซึ่งองค์ใหญ่สุดประดิษฐานอยู่ที่
วัดเสบุญเรือง  ตำบลวานรนิวาส  อำเภอวานรนิวาส  จังหวัดสกลนคร หลวงพ่อตะเคียนทองสร้างได้ประมาณ ๑๐๐ ปีมาแล้ว หากนับอายุต้นไม้ตะเคียนต้นนี้ที่นำมาแกะสลักเป็นองค์หลวงพ่อตะเคียนทองอายุได้ประมาณ  ๗๐๐ กว่าปี

วัดเสบุญเรือง หรือชาวบ้านเรียกว่าวัดกลางตั้งขึ้นเมื่อใดนั้นไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัดแต่ตามหลักการสันนิษฐานนั้นเข้าใจว่าตั้งขึ้นพร้อมการตั้งบ้านเมือง เพราะในสมัยก่อนนั้นคนที่เป็นหัวหน้าหรือผู้นำในการอพยพหรือย้ายถิ่นฐานจะต้องไปพร้อมข้าทาสบริวารและพระภิกษุสงฆ์ ดังนั้นเมื่อมีการตั้งเมืองก็ต้องมีการตั้งวัด จึงสันนิฐานว่าวัดเสบุญเรืองตั้งขึ้นพร้อมกับเมืองวานรนิวาส ในปี พ.ศ.๒๔o๔ วัดเสบุญเรือง ตั้งอยู่เลขที่ ๒๘ ถนนบำรุงเมือง หมู่ที่ ๕ บ้านวานรนิวาส ตำบลวานรนิวาส อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร

วิธีการชำระเงิน

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาปตท.ถนนกาญจนาภิเษก 2 ออมทรัพย์

JEWELRY-ANTIQUE-AMULET

ระบบสมาชิก

สถิติร้านค้า

หน้าที่เข้าชม4,444,927 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด3,381,225 ครั้ง
เปิดร้าน4 ก.พ. 2558
ร้านค้าอัพเดท6 ก.ย. 2568

ติดต่อเรา

ติดตามสินค้า

พูดคุย-สอบถาม