เหรียญ ครูบาหลวงฝายหิน วัดฝายหิน ออกวัดศรีโสดา จ.เชียงใหม่ พระราชครูนครเชียงใหม่ ปี 2520

เหรียญ ครูบาหลวงฝายหิน วัดฝายหิน ออกวัดศรีโสดา จ.เชียงใหม่ พระราชครูนครเชียงใหม่ ปี 2520
เหรียญ ครูบาหลวงฝายหิน วัดฝายหิน ออกวัดศรีโสดา จ.เชียงใหม่ พระราชครูนครเชียงใหม่ ปี 2520เหรียญ ครูบาหลวงฝายหิน วัดฝายหิน ออกวัดศรีโสดา จ.เชียงใหม่ พระราชครูนครเชียงใหม่ ปี 2520
รหัสสินค้า SSD2001
หมวดหมู่ 35. พระเครื่อง จังหวัด เชียงใหม่
ราคา 950.00 บาท
สถานะสินค้า พร้อมส่ง
ลงสินค้า 10 พ.ค. 2561
อัพเดทล่าสุด 18 ต.ค. 2568
จำนวน
เหรียญ
หยิบลงตะกร้า
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay
พระอภัยสารทะ สังฆปาโมกข์(ครูบาฝายหิน)   ปฐมสังฆนายะกะ “ โสภา ”
เจ้าคุณพระอภัยสารทะ สังฆปาโมกข์ (อุ่นเรือน โสภโณ)   วัดฝายหิน  
ปฐมสังฆราชาแห่งมหานครเชียงใหม่ล้านนา

แผ่นดินล้านนานอกจากมีชื่อเสียงในทางอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร อันเป็นหลักใหญ่ในทางเศรษฐกิจแล้ว ยังได้รับการต้อนรับจากอาคันตุกะ อย่างน่าปลื้มปีติอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทางศีลธรรมอันดีงามของประชาชน สิ่งสำคัญสองประการนี้ อย่างที่หนึ่งเป็นไปในทางด้านวัตถุ อย่างที่สองเป็นไปในทางจิตใจ บ้านเมืองจึงทรงไว้ซึ่งสันติสุข อันสิ่งทั้งสองนี้ จะขอกล่าวในทางศีลธรรมอันดีงามของประชาชนก่อน ว่ามีความรุ่งเรืองและเป็นมานานประการใด สิ่งสำคัญที่ช่วยประชาชนให้มีศีลธรรมอันดีได้นั้น ปราชญ์แยกไว้สามประการ คือ

๑.ความเป็นอยู่ของประชาชนดี เช่น การทำมาหากิน ที่อยู่อาศัย ไม่ลำบาก
๒.สิ่งแวดล้อมจูงใจได้ดีมากเช่น วัดวาอารามอันสง่างาม เป็นขวัญบ้านฯ
๓.ผู้ที่คอยชี้แจงใจใส่ในการทำดีมีความแข็งแรงในภาระ

สิ่งสามประการนี้นับว่าเป็นหลักสำคัญ ในอันที่จะทำให้ประชาชนมีศีลธรรมดีได้เป็นอย่างมาก ในที่นี้จะขอกล่าวถึงประวัติของบุคคลที่สำคัญในทางจูงใจ และทรงไว้ซึ่งระเบียบของศาสนา ในแผ่นดินลานนาไทยสมัยหลังก่อนนี้ว่า ใครเป็นผู้จัดการให้พระพุทธศาสนารุ่งเรือง อย่างเป็นที่น่าปีติเช่นทุกวันนี้ เมื่อกล่าวความมาถึงตอนนี้แล้ว ก็ขอกล่าวย้อนหลังไปถึงพระพุทธศาสนาในลานนาไทยแต่หนหลัง พอเป็นที่เข้าใจก่อน
เมื่อพุทธศักราช ๒๐๙๔ ปี พม่าได้ยกกองทัพมาทำการรุกรานอาณาจักรลานนาไทยได้เข้ายึดนครต่างๆ ในภาคเหนือไว้ในอำนาจหมด แม้กระทั่งนครเชียงใหม่ ราชธานีของลานนาไทยในยุคนั้น ก็ได้กระจัดกระจายกัน ไพร่ฟ้าราษฎรต่างก็อพยพตัวเองไปอยู่ตามป่าตามเขาโดยมาก การพระศาสนาวัดวาอารามที่เคยรุ่งเรืองมาก็อับเฉาเศร้าหมองลง สังฆพระธรรมกระจัดกระจายไปคนละที่ละทาง เมื่อยึดเมืองได้แล้ว พม่าข้าศึกก็เข้ามานั่งเมืองด้วยการเป็นเหนือหัว ได้อยู่ถึง ๒๓๖ ปี ก็ได้มีคนลานนาไทยกลุ่มหนึ่ง อันมีพระยาสุลวฤาชัยสงคราม (เจ้าทิพย์ช้าง) เป็นหัวหน้า เล็งเห็นความเสื่อมโทรมของการพระศาสนา ก็มีความสังเวชสลดใจเป็นประมาณ จึงชักชวนบริวารมิตรสหายกลุ่มหนึ่ง ทำการกู้อิสระภาพของลานนาไทยกลับคืนมา โดยเข้ายึดเมืองลำปางคืนมาได้ก่อน อันพระยาทิพย์ช้างนี้ มีบุตรคนหนึ่งชื่อ “ เจ้าฟ้าชายแก้ว” ภายหลังเมื่อพม่าที่รักษาเมืองเชียงใหม่รู้ระแคะระคายการกู้แผ่นดิน จึงจับเจ้าฟ้าชายแก้วไว้ แล้วก็ได้นำคุมขังไว้ ณ เมืองเชียงใหม่ เจ้าฟ้าชายแก้วนี้มีบุตรหลายองค์ด้วยกัน ที่นับว่าเป็นยอดทหารหาญอยู่ ก็คือ เจ้ากาวิละ กับ พระเจ้าธรรมลังกา ราชบุตรทั้งสอง เมื่อได้นำไพร่พลหักด่านเข้าเมืองเชียงใหม่ เพื่อแหกเอาเจ้าฟ้าชายแก้วผู้เป็นบิดา ได้มาแล้วก็ได้ทำการขับไล่พม่าออกเมืองไป เจ้ากาวิละผู้เป็นพี่ใหญ่ก็ได้เข้านั่งเมืองเชียงใหม่ เป็นปฐมกษัตริย์ต่อมา เมื่อจัดบ้านเมืองและการพระพุทธศาสนา ให้เป็นไปด้วยความรุ่งเรืองบ้างแล้ว ภาระใดที่เป็นของแผ่นดินลานนาไทย พระเจ้ากาวิละก็ได้รีบจัดการอีก เช่น หัวเมืองฝ่ายเหนือที่ใดยังไม่เป็นสุข ด้วยทุกขภัยเบียดเบียน จากการกดขี่ข่มเหงของพม่าผู้ครอบครองอยู่ เจ้ากาวิละก็ได้ระดมกำลังไปตีเพื่อขับไล่พม่าเสีย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่พระเจ้ากาวิละ กับพระเจ้าธรรมลังการ์ผู้น้อง ได้ยกกำลังไปตีเชียงแสน เมื่อขับพม่าแตกถอยไปแล้ว สองพี่น้องก็ได้ประชิดติดตามตีจนสุดเขตแดนลานนาไทย แล้วก็ได้กวาดผู้คนมาเป็นจำนวนมาก พวกที่พระเจ้ากาวิละนำมาครั้งนั้น มีพวกไตยวน และพวกลื้อเขิน อันเป็นชาวลานนาไทยเผ่าเดียวกัน พระองค์ได้นำมาด้วย เมื่อมาถึงบ้านเมืองเชียงใหม่แล้ว พระเจ้ากาวิละก็ได้จัดให้อยู่ในคามเขตของบ้านเมืองต่อไป เช่น พวกลื้อ ก็ให้ไว้ตะวันออกของเวียง พวกเขิน ก็ไว้ทางใต้เวียงประตูเชียงใหม่ อันพวกเขินนี้มีศิลปวิทยาการในทางหัตถกิจ และศิลปกรรมต่างๆ มาก ที่เหลือก็ให้ขยายไปอยู่ตามที่ต่างๆ เช่น ในท้องที่อำเภอสันทราย สันกำแพง ดอยสะเก็ดบ้าง ดังนี้ ในบรรดาหมู่ชาวเขิน ที่พระเจ้ากาวิละพามาทางเหนือ เมื่อมาตั้งรกรากเป็นปึกแผ่นแล้ว ก็ได้ช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมืองและการศาสนาให้รุ่งเรืองสืบกันมา
                 ลุถึงปีเต่าสี (มะโรง-จัตวาศก) พ.ศ. ๒๓๗๔ มีสามีภรรยาชาวเขิน ด้านตะวันตกเวียงคู่หนึ่ง ชื่อหนานอินต๊ะ นางซอน ได้กำเนิดลูกชายในวันอังคารขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๘ นั้นด้วยเหตุอัศจรรย์อยู่ว่าเวลาใกล้รุ่งที่ลูกชายกำเนิดนั้น ควายที่ชาวบ้านปล่อยให้ไปกินหญ้าตามลำพังในป่าทั้งหมดได้หวลกลับเข้ามาบ้านหมดทุกตัว โดยไม่มีใครต้อนกลับมา  ด้วยนิมิตอันเป็นมงคลเหตุนั้นลูกชายที่เกิดมานั้นจึงได้ชื่อตามนั้นว่า “ควาย” เมื่อผ่านอายุในปฐมวัยมาด้วยความสมบูรณ์ปราศจากโรคภัยต่างๆ “ควาย” เมื่อเติบโตขึ้นพอช่วยบิดามารดาทำกิจกรรมต่างๆ ได้
ผ่านอายุในปฐมวัยมาด้วยความสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยต่างๆ ควายเมื่อเติบโตขึ้น พอช่วยมารดาบิดาทำกิจการต่างๆ บางครั้งก็ไปเลี้ยงควาย เป็นการช่วยพ่อแม่ตามวัย   เมื่อเด็กชายควายอายุได้ ๑๑ ปี ก็ได้มีสาธุเจ้าครูบามารวิชัยผู้มาเจริญบิณฑบาตทุกๆวัน ที่บ้านพบเห็นเข้า ครูบามารวิชัยจึงได้ขออนุญาตจาก หนานอินต๊ะให้ไปอยู่วัดด้วย ควายจึงมาเป็นลูกศิษย์วัดฝายหินกับครูบามารวิชัย
เข้าบรรพชา
เมื่ออายุ ๑๑ ปี เมื่อมาอยู่วัดช่วยปรนนิบัติครูบาอาจารย์ และวัดวาอารามแล้วก็ศึกษาอักขระสมัยประเพณีจนเข้าใจอย่างรวดเร็วจวบจนอายุได้ ๑๕ ปี ครูบามารวิชัยผู้เป็นอาจารย์ได้ทำการบรรพชา ให้เป็นสามเณรในปีนั้น สามเณรควายเมื่อได้น้อมตัวสู่เงาของพระบวรพุทธศาสนาแล้วก็ได้อุตส่าห์วิริยะทำการศึกษาอักขระสมัยและพระไตรปิฎกในสำนักของอาจารย์จนเข้าใจอักษรศาสตร์ และพระธรรมวินัยจนเชี่ยวชาญ เป็นที่ร่ำลือกันในสมัยนั้น ว่าสามเณรควายผู้นี้รู้ภาษาบาลี มูลกัจจายท-   สัททศาสตร์จนหาผู้ใดเสมอไม่ได้

สามเณรควาย เมื่อได้น้อมตัวลงมาสู่ร่มเงาของพระบวรพุทธศาสนาแล้ว ก็ได้อุตส่าห์ วิริยะ ทำการศึกษาอักขระสมัยและไตรปิฎก ในสำนักของอาจารย์จนเข้าใจในอักษรศาสตร์และพระธรรมวินัยเชี่ยวชาญได้เป็นอย่ างดี เป็นที่ร่ำลือกันในสมัยนั้นว่า สามเณรควายผู้นี้ รู้บาลี มูลกัจจาย์ สัททศาสตร์ จนหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้

เมื่ออายุวัยล่วงมาได้ ๒๒ ปี ครูบามารวิชัยผู้อาจารย์ จึงให้ทำการอุปสมบท ในสำนักวัดฝายหินนั้น โดยมีพระมหาเถรสวามี สิริวํโส วัดป่าแดง เป็นพระอุปัชฌาย์ สาธุเถรอินต๊ะ วัดป่าแพ่ง เป็นกรรมวาจาจารย์ สาธุเถรมารวิชัย วัดฝายหิน เป็นอนุสาวนาจารย์ โดยได้ฉายาทางศาสนาว่า โสภาภิกขุ

เมื่อได้อุปสมบทแล้ว ก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัย และมูลกัจจายเพิ่มเติมอีก ในสำนักของพระมหาเถรสิริวํโส จวบจนถึงปี พ . ศ. ๒๓๙๘ คืออุปสมบทแล้วได้ ๑ ปี ท่านอาจารย์สาธุเถรมารวิชัย ได้ถึงมรณะภาพ จึงได้รับภาระเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมา ในครั้งนั้น กิจการพระบวรพุทธศาสนายังไม่เจริญ เหตุนั้นโสภาภิกขุ เมื่อได้รับภาระเป็นเจ้าอาวาสแล้ว จึงได้จัดการศึกษาขึ้นเป็นครั้งแรก ทางอักขระภาษา ก็มีการเรียนคัมภีร์มูลกัจจาย์บ้าง คัมภีร์สมัญญาภิธานนามบ้าง ซึ่งครั้งนั้นเรียกว่า “ สทา ๘ มัค” ฝ่ายพระปริยัติธรรมก็รุ่งเรืองขึ้นมา ผู้สนใจศึกษาก็ได้มาจากสารทิศต่างๆ ทั้งหัวเมืองอื่นออกไปอีก เช่น เมืองลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน เชียงราย แม้กระทั่งเชียงตุง ก็มีพระมาร่วมศึกษาด้วย นอกจากฝ่ายปริยัติธรรมแล้ว การบริหารพระศาสนาทางด้านปฏิบัติธรรม ท่านโสภาก็ได้จัดให้มีขึ้นด้วย เฉพาะท่านเอง ได้ออกไปเจริญธรรมในวิเวกสถานเป็นนิจ สถานที่นั้นคือ “ เงิ้มผา” ทางหลังวัด ห่างออกไปอีกประมาณ ๒,๐๐๐ เมตร หลักฐานปรากฏอยู่ก็คือ มีคนไปสร้างศาลาที่พัก ของผู้ไปคารวะวิสาสะธรรมกับท่านให้ ๑ หลัง 
วิทยฐานะ
                 จบนิรุต ทางอักษรศาสตร์ภาษาล้านนา ภาษาบาลี(มูลกัจจาย) และเป็นผู้เชี่ยวชาญพระไตรปิฏกอรรถกถาฎีกา และได้รับการยกย่องว่าเป็นพหูสูตรการปฏิบัติธรรม เฉพาะท่านเองได้ออกไปเจริญวิปัสสนากัมมัฎฐาน บำเพ็ญสมาธิวิปัสสนาในวิเวกสถานเป็นนิจ สถานที่นั้นคือเงิ้มผาทางหลังวัดซึ่งห่างออกไปอีกประมาณ ๒๐๐ เมตร
งานการบริหารปกครองและตำแหน่งสมณศักดิ์
                   ครั้งนั้น ฝ่ายสงฆ์จึงเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ทั้งคามวาสี และอรัญญวาสี การคณะสงฆ์ที่เคยกระจัดกระจายเพราะการศึก ก็ได้จัดการเป็นหมวดหมู่ขึ้น ด้วยความสามัคคีธรรม และสมรรถภาพของท่าน จวบจน พ . ศ. ๒๔๓๘ อันเป็นปีที่ ๓๖ ตั้งแต่อุปสมบทมา พระเจ้าอินทวิชยานนท์ ( ราชบิดาพระราชชายาเจ้าดารารัศมี) พระเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ จึงได้ถวายตำแหน่งโดยแต่งตั้งให้เป็น “ ปฐมสังฆนายก” องค์ที่ ๑ ของลานนาไทย โดยให้มีสมณะศักดิ์ตำแหน่งนามว่า “ ปฐมสังฆนายะกะโสภา วัดฝายหิน สังฆราชาที่หนึ่ง เชียงใหม่” ในสังฆราชาทั้ง ๗ คือ 

๑ . ปฐมสังฆนายะกะ วัดฝายหิน เชียงใหม่
๒ . สังฆราชา ศาณะโพธิ วัดแม่วาง ( อ. สันป่าตอง)
๓ . สังฆราชา สรภังค์ วัดนันทาราม ประตูเชียงใหม่ ( ตระกูลเขิน เชียงใหม่)
๔ . สังฆราชา คันธา วัดเชตุพน
๕ . สังฆราชา คูบายะ วัดหนองโขง เขตลำพูน ( ภายหลังมาอยู่ วัดดับภัย เชียงใหม่)
๖ . สังฆราชา เจ้าตุ๊ปัญญา วัดพวกแต้ม ( องค์นี้เป็นราชตระกูล ณ เชียงใหม่)
๗ . สังฆราชา ญาณะรังสี วัดสันคะยอม

ในการถวายตำแหน่งนี้ พระเจ้าอินทวิชยานนท์ ได้ประกาศถวายเป็นมหาสังฆพิธี ณ วัดพระธาตุดอยสุเทพ เมื่อ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนวิสาขะ ( ๘ เหนือ) จุลศก ๑๒๕๗ ปี ดังนี้ หนนั้นบ้านเมืองจึงรุ่งเรืองด้วยพระพุทธศาสนะธรรมดา ตามลำดับกาลฯ ด้วยวิริยะอุตสาหะในการใจใส่ปกครองและจัดสรรการคณะสงฆ์ให้เรียบร้อย
บริหารการคณะสงฆ์และจำพรรษาที่วัดเชียงยืน
ฉะนั้น เมื่อได้ถวายตำแหน่งสังฆนายะกะ และสังฆราชาทั้ง ๗ ของเมืองแล้วได้ ๑ปี พ. ศ. ๒๔๓๙ พระเจ้าอินทยานนท์และไพร่ฟ้าบ้านเมือง จึงอาราธนาให้ท่านมาประจำอยู่ที่วัดเชียงยืน เหนือเวียงเชียงใหม่ เพื่อจะได้จัดการคณะสงฆ์และการพระศาสนาโดยสะดวก

เมื่อการพระศาสนาได้รุ่งเรืองขึ้น ในเมื่อกาลนั้น บ้านเมืองก็สงบสุข เสียงแซ่ซร้องอนุโมทนาในกุศลผลบุญ ประกาศหยาดน้ำและปอยหลวง ก็เป็นมหกรรมพิธีอึงคะนึงอยู่มิได้ขาด ในเวลาเช้า สังฆ ภิกขุ เณร จะจาริกบิณฑบาต โปรยบุญสุนทานอร่าม เป็นขวัญเมืองอยู่นิรันดร์ ตราบสายันต์กาล เสียงกังวานของ “ เด็ก” ที่วัดสนั่น พระสงฆ์สวดสูตร นั่งเป็นระเบียบตามอายุพรรษกาล มีปริมณฑล การนุ่งห่ม “ มัดอก” ตามแบบสังฆบูรพาจารย์แต่ก่อนมา เป็นผลผาสุกยิ่ง แต่ครั้งนั้นแหละ
เกิดเหตุการณ์แตกแยกทางความคิด(ตุ๊ป่ากับตุ๊บ้าน)
 เมื่อต่อมาอีกไม่นานเท่าใด ยังมีกุลบุตรชาวชนบทผู้หนึ่ง มีนามว่า “ ปิง” เป็นชาวบ้านลวงใต้ อำเภอดอยสะเก็ด ได้ไปทำการศึกษาพระปริยัติธรรมมาจากกรุงเทพฯ สำนักวัดบวรนิเวศวิหาร ผู้เป็นเจ้าหัวคณะใหญ่ฝ่ายพระธรรมยุติกะนิกาย เรียนปริยัติจนสำเร็จเปรียญธรรม เป็นพระมหาปิงมาแล้ว ก็ได้กลับมาสำนักอยู่วัดเจดีย์หลวง ชาวบ้านชาวเมืองมีเจ้าขุนมูลนายฝ่ายใต้ และฝ่ายเหนือ ก็นิยมชมชอบในลัทธิธรรม ที่มหานำมาจากใต้มาก แต่ว่าการนิยมนี้มีนัยอยู่สองประการ คือ

๑ . เพราะเจ้านายฝ่ายสูงทางใต้นิยม เจ้านายฝ่ายไพร่ และฝ่ายเหนือก็คล้อยตาม
๒ . เพราะลัทธิที่มหาปิงนำมาเป็นของใหม่ คนก็ตื่นกัน

เมื่อลัทธิใต้ที่มหาปิงนำมา ที่เรียกว่า “ ลัทธิกุมผ้าบ่รัดอก” เป็นที่นิยมของเจ้านายทั้งหลายแล้ว การพระศาสนาฝ่ายเหนือก็ซบเซาลงไป ผู้เอาใจช่วยเหลือฝ่ายที่เป็นเจ้านายก็เหลือน้อย เพราะไปนิยมกับนิกายใหม่ ฝ่ายพระมหาปิง เสียจนหลายปีดีดัก เมื่อได้ลูกศิษย์ลูกหาสาวกสาวิกามากมายแล้ว พระมหาปิงก็ลงเรือล่องไปเวียงใต้ ทำนองที่เป็นไปเพื่อรายงานตัว จวบจนกลับมา พระมหาปิงก็ได้รับตำแหน่ง “ เจ้าคุณนพีสีพิศาลคุณ” ขึ้นมาด้วย คนทั้งหลายก็ยิ่งปฏิพัทธ์เลื่อมใสมากขึ้นอีกเป็นล้นพ้น เจ้านายหลายคนถึงกับปวารณาตัวใจใส่ฝ่ายพระมหาปิง หรือเจ้าคุณใหม่เสียฝ่ายเดียวก็มี ลัทธิของ “ เจ้าคุณนพีสี” จึงรุ่งเรือง จนเจ้านครเชียงใหม่ฝ่ายหนนอกครั้งนั้น คือเจ้าอินทวโรรส กำหนดอารามให้เป็นสำนักใหม่ โดยนิมนต์ย้ายพระมหาปิงมาสำนักเสียที่ วัดเชียงมั่น คนทั้งหลายผู้ไพร่ฟ้า ก็สำคัญไปว่า อันอาชญาเหนือหัว พระเจ้าอินทวโรรส เจ้าผู้ครองนครนี้มีน้ำพระทัยเป็นอคติครอบงำเสียแล้ว มาทิ้งรีดรอยธรรมเนียมเดิมฝ่ายสงฆ์ มาเป็นไปเสีย บ้านเมืองและการพระศาสนาครั้งนั้นจึงอลเวงมากมาย สังฆราชาครูบาวัดฝายหิน ก็ได้จัดการระงับความวิปฏิสารครั้งนั้นด้วยประการต่างๆ แม้จะมิได้รับการอุปถัมภ์จากผู้ใหญ่ฝ่ายหนภายนอก ก็ได้ปกครองหมู่สงฆ์ทั้งหลายด้วยความเรียบร้อย มีบางครั้งที่ฝ่ายบ้านเมืองที่ไปติดข้างพระมหาปิง จะมีความเอนเอียงใช้อำนาจบ้าง สังฆราชาครูบาฝายหิน ก็มิได้ยอม ถือธรรมาธิปไตยเป็นแบบในการปฏิบัติงานสงฆ์อยู่ คนทั้งหลายที่ศรัทธาปสาทะตามขนบแบบแผนเดิม ก็พลอยตำหนิเจ้านายด้วยตามนัยต่างๆ ความในบางครั้งจวนเจียนจะเกิดความร้าวราน ถึงขนาดใช้กำลังกันบ้าง ตามความดื้อรั้นของทิฏฐิ ที่ต่างฝ่ายมีอยู่ จนลางคนที่เป็นกลางจะบอกตกลงมิได้ เมื่อใครมาถามว่า “ จะไหว้ตุ๊ป่า หรือไหว้ตุ๊บ้าน” (ตุ๊ป่าได้แก่ ครูบาฝายหิน) ความแตกร้าวในพระศาสนามีมากขึ้น จนลุกลามไปจะเป็นความบ้านเมือง เจ้านายทั้งหลายก็นำความกราบทูลฯ พระเถระทั้งหลายในกรุงเทพอยู่เนืองนิจ เมื่อความอื้อฉาวไปถึงพระกรรณ์เจ้านายผู้ใหญ่ อันเป็นรัชสมัยของพระปิยะมหาราช รัชกาลที่ ๕ จึงสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ดำรัสให้เจ้ากรมมหาดไทย อาราธนาครูบาฝายหินลงไปเฝ้า  ความจริงการอาราธนา “ ครูบาฝายหิน” ไปกรุงเทพฯ ครั้งนี้ คงเป็นการประชุมพระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่ทั่วพระราชอาณาจักร “ ครูบาฝายหิน” คงไปในฐานะ ปฐมสังฆนายกองค์ที่ ๑ ของล้านนา และครั้งนั้นก็มี สังฆราชาคันธา แห่งวัดเชตุพนติดตามไปด้วย หากแต่สถานการณ์ครุกกรุ่นทางการเมืองขณะนั้น จึงเกิดคำร่ำลืออย่างปริวิตกยิ่ง

การเข้าร่วมประชุมสงฆ์สมาคมในปี พ . ศ. ๒๔๔๙ นั้น “ ครูบาฝายหิน” ได้แสดงบารมีธรรม ถวายพระพรตอบกิจการพระศาสนาฝ่ายเหนืออย่างรอบรู้ เป็นที่พอพระทัยรัชกาลที่ ๕ ยิ่ง ทรงถวายตำแหน่งพระราชาคณะให้ครูบาฝายหิน ดำรงสมณศักดิ์เป็น “ พระอภัยสารทะ สังฆปาโมกข์” เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ และให้สังฆราชาวัดเชตุพน ดำรงสมณศักดิ์ “ พระโพธิรังสี” เป็นรองเจ้าคณะใหญ่ เดินทางกลับเชียงใหม่ในปีเดียวกัน 
ครั้งนั้นเล่า ฝ่ายหนการพระศาสนาจึงโกลาหล ปั่นป่วนด้วยข่าวลือเป็นประการต่างๆ บางคนก็ว่า ครูบาฝายหินจะถูกกักตัว บางคนก็ว่า ครูบาฝายหินถูกหาเป็นกบฎ บางคนหมู่ที่เป็นฝ่ายปฏิปักษ์ครูบา ก็หาว่าจะถูกประหารก็มี กรณีเล่าลือก็กว้างแผ่ไปทุกวัน จนลงเรือที่ท่าวัดไชยมงคล ชาวบ้านชาวเมืองก็อึงคะนึงสาธุ บางคนที่หูไม่มีน้ำหนักถึงกับร้องไห้ก็มี พระสงฆ์ที่มาเจริญชัยมงคลแก่ครูบาก็เนืองแน่น อร่ามไปด้วยกาสาวพัตรเต็มอยู่ท่าเรือ ครูบาฝายหินไปครั้งนั้น กับสังฆราชที่ ๕ วัดเชตุพน ขณะที่สาละวนกันอยู่นั้น มงคล ไสยมงคล ได้ประกอบเสร็จแล้ว ครูบาก็สั่งพวกสงฆ์ทั้งหลายว่า

“ สงฆ์ทั้งหลาย อย่าเดือดร้อนไป ข้าจักไปดี อยู่กันทางนี้ หมายหนังสือภายใน ( สงฆ์) ไผมาอย่ารับ หื้อรักษากองปฏิบัติเราไป”
การกลับสู่เชียงใหม่ของครูบาฝายหิน ได้รับการต้อนรับจากสงฆ์และฆราวาสพื้นเมือง อย่างเอิกเกริกยิ่ง “ ลางคนถึงกับทอดกาย และเอามวยผมก้มปูให้สังฆราชาได้เหยียบเดิน”

แต่ขณะเดียวกัน ฝ่ายผู้สนับสนุนธรรมยุติกนิกายบางคน ต้องร้อนรนด้วยจิตริษยา “ ถึงกับเป็นลมบนคุ้มบนวังก็มี” สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งในขณะนั้นได้อย่างดี 

ประชุมสังฆสันนิบาตที่กรุงเทพ
ที่ตำหนักวัดเบญจมบพิตร เมื่อ พ . ศ. ๒๔๔๙ ท่ามกลางที่ประชุมพระเถรานุเถระทั้งหลาย สังฆราชาฝายหิน ก็ได้ร่วมสังฆสมาคมด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงประทับ ณ เบื้องหน้าสงฆ์ ได้ทรงพระราชดำรัสปราศรัย ตรัสถามกิจการพระศาสนาฝ่ายเหนือ กับสังฆราชาฝายหินๆ ได้ถวายพระพรตอบโดยไม่สะทกสะท้าน เล่าเรื่องความเป็นมาแห่งศาสนาฝ่ายเหนือ อย่างเป็นที่พอพระทัยของพระพุทธเจ้าหลวงยิ่ง

เมื่อมีพระราชดำรัสกับครูบามากเรื่องไป องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร . ๕ ก็ยิ่งปสาทะเลื่อมใสในจริยะวินัย และอากัปกิริยาที่สังวรยิ่งของครูบาอีก จนในวันต่อมาก็ได้เสด็จเยี่ยมอีกหลายหน ครูบาสังฆราชาทั้งสอง ได้ดูกิจการงาน และศึกษาความเป็นไปในการพระศาสนาอยู่เป็นเวลาพอสมควร ตราบจนจะกลับสู่นครพิงค์เชียงใหม่
ได้รับสมณศักดิ์ ที่ “ พระอภัยสารทะสังฆปาโมกข์ ”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงถวายพระราชทานนาม ตำแหน่งพระราชาคณะ ให้สังฆราชาที่ ๑ วัดฝายหิน เป็นพระราชาคณะที่ “ พระอภัยสารทะ สังฆปาโมกข์” และให้สังฆราชาที่ ๕ วัดเชตุพน เป็นที่ “ พระครูโพธิรังสี” เป็นรองเจ้าคณะใหญ่ 
กลับสู่นครพิงค์เชียงใหม่
เมื่อได้กลับสู่นครพิงค์เชียงใหม่ครั้งนี้ ชาวบ้านชาวเมืองและคณะสงฆ์ ได้นำขบวนเรือไปรับถึงใต้จังหวัดลำพูน สังฆนาวานำเรือจึงอร่ามเหลือง สลอนไปทั่วทุกคุ้งแควน้ำ พระสงฆ์ทั้งหลายที่อยู่ทำชัยมงคลทางบ้านเมือง ต่างก็ปลื้มปีติอย่างมากมาย ในการกลับของพระสังฆราชานายะกะราชครู บางคนถึงกับทอดกายและเอามวยผมก้มปู ให้สังฆราชาได้เหยียบเดิน แต่บางคนที่ใส่ซ้ำครูบาด้วยความริษยามายา ก็ถึงกับเป็นลมอยู่บนคุ้มบนวังก็มี ครั้งหลังนี้ พระบวรพุทธศาสนาจึงรุ่งโรจน์ขยับขยายขึ้นไปอีกมากมาย 
งานสาธารณูปการ
      เมื่อเจ้าคุณพระอภัยสารทะ สังฆปาโมกข์ กลับสู่นครเชียงใหม่แล้ว ได้บริหารกิจการคณะสงฆ์ในนครพิงค์เชียงใหม่ ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ ทั้งในด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ในด้านสาธารณูปการ ได้เป็นประธานเสริมสร้างวัดวาอาราม เช่น กุฏิ วิหาร โบสถ์ และถาวรวัตถุต่าง ๆ ทั้งในวัดและต่างวัดในล้านนาไทยที่ชำรุดทรุดโทรมให้มั่นคงถาวรเป็นที่สง่างามสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้
ไปร่วมงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ลุถึง พ . ศ. ๒๔๕๓ พระปิยะมหาราชสวรรคต สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธมกุฏราชกุมาร ได้สืบสันตติวงศ์ รัชกาลที่ ๖ เมื่อถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ก็ได้อาราธนาราชครูสังฆราชานายะกะอภัยสารทะ วัดฝายหิน ลงไปร่วมในพระราชพิธีด้วย การไปครั้งนี้ ท่านได้วิลาสะสนทนาปรึกษากับพระเถรานุเถระทั้งหลายทางกรุงเทพฯ พระมหานคร เกี่ยวกับการสงฆ์อีก ซึ่งมีสมเด็จพระวันรัต ( จ่าย) วัดเบญจมบพิตร เป็นต้น

ภายหลังจากกลับมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้มีพระบรมราชโองการ อาราธนาพระธรรมวโรดม ( สมเด็จพระวันรัต จ่าย) ให้ช่วยจัดการพระศาสนาฝ่ายหนเหนือ การบริหารพระศาสนาจึงเจริญตามลำดับ จนปัจฉิมวัย สังฆราชใหญ่วัดฝายหินก็ได้ส่งพระสงฆ์ผู้เป็นกำลังศาสนา ไปดูการบริหารการสงฆ์ ที่กรุงเทพฯ มี

๑ . พระอินทจักร์ ( คัมภีรธรรม) วัดเชตวัน เจ้าคณะจังหวัด องค์ที่ ๒
๒ . พระอภิวงศ์ ( ญาณลังการ์) วัดทุงยู เจ้าคณะจังหวัด องค์ที่ ๓
๓ . พระคันธาโร ( โพธิรังสี) วัดศรีดอนชัย เจ้าคณะจังหวัด องค์ที่ ๔

ฝ่ายการศึกษาพระปริยัติธรรม ก็ได้จัดที่พระสงฆ์ทรงวิริยะ อุตสาหะ ไปเรียนบาลีและนักธรรมอีก ผู้เป็นกำลังสำคัญ มันสมองของพระศาสนาในจังหวัดเชียงใหม่ ในกาลต่อมา ก็มี พระครูปริยัติยานุรักษ์ ( สุดใจ) วัดเกตุการาม เป็นต้น 
มรณภาพ
เจ้าคุณพระอภัยสารทะ สังฆปาโมกข์ ปฐมสังฆราชาแห่งล้านนาไทย อดีตเจ้าอาวาสวัดฝายหิน และอดีตเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่องค์ที่หนึ่ง ได้บำเพ็ญคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาทั้งในด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ตลอดจนได้ก่อสร้างและทนุบำรุงถาวรวัตถุต่าง ๆ ของวัดในล้านนาไทยเป็นงานสาธารณูปการ และเป็นการธำรงรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรมในล้านนาไทย ให้เจริญรุ่งเรืองเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวล้านนาไทย จนลุในวันที่ ๒๑ เมษายน พ . ศ . ๒๔๕๗ ท่านได้อาพาธด้วยโรคชรา และได้มรณะภาพไป รวมสิริอายุได้ ๘๓ พรรษา พระเถรานุเถระ และศิษยานุศิษย์ทั้งหลายจึงได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ ณ ที่วัดฝายหิน ตราบเท่าทุกวันนี้
ปฐมสังฆราชาองค์ที่ได้รับสถาปนาเป็นราชครูใหญ่ นับถึงวันที่ ๒๑ เมษายน พ . ศ . ๒๕๔๕ ครบรอบ ๘๘ ปี มีประวัติสังเขปมาด้วยประการฉะนี้

วัดศรีโสดา พระอารามหลวง เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดมหานิกาย ตั้งอยู่ที่บ้านน้ำตกห้วยแก้ว เลขที่ 17 หมู่ 2 ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ทางเข้าวัดอยู่หลังอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย บนถนนขึ้นดอยสุเทพ วัดศรีโสดาเป็นวัด 1 ใน 4 วัดที่ครูบาศรีวิชัยสร้างขึ้น โดยท่านได้ตั้งชื่อวัดให้มีความหมายเทียบพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา 4 ชั้น ได้แก่ วัดโสดาบัน วัดสกิทาคามี วัดอนาคามี และวัดอรหันต์ ต่อมา วัดโสดาบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดศรีโสดา ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานว่าเปลี่ยนในสมัยใด แต่สันนิษฐานว่าที่เติมคำว่า "ศรี" มาจากชื่อครูบาศรีวิชัยเพื่อเป็นอนุสรณ์น้อมรำลึกคุณูปการที่ท่านสร้างวัดนี้ขึ้นมา วัดตั้งอยู่ใกล้กับสวนสัตว์เชียงใหม่

ลักษณะเด่นของวัด คือ เป็นวัดที่สถาปนาก่อตั้งโดยครูบาเจ้าศรีวิชัย ในปี พ.ศ. 2477 ช่วงดำเนินการก่อสร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ เพื่อเป็นจุดรับบริจาค มีพระประธานอันศักดิ์สิทธิ์ในพระอุโบสถชั้น 2 ที่ก่อสร้างด้วยมือของครูบาเจ้าศรีวิชัย และคณะลูกศิษย์ในยุคนั้นชื่อว่า หลวงพ่อใบโพธิ์ ปัจจุบันวัดเป็นศูนย์บ่มเพาะศาสนทายาท และงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาบนดอยให้แก่กลุ่มพี่น้องชาติพันธุ์ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ในพื้นที่ 15 จังหวัดภาคเหนือตอนบน โดยมีพระภิกษุสงฆ์ สามเณร ชาวเขาจำพรรษาภายในวัดไม่ต่ำกว่า 300 รูป ในแต่ละปี และยังเป็นจุดตั้งศูนย์งานเผยแผ่พระพุทธศาสนาบนดอย โครงการพระธรรมจาริกส่วนภูมิภาค มูลนิธิธรรมะห่มดอย และโรงเรียนสมเด็จพระพุทธชินวงศ์

การศึกษา
สามัญศึกษา มัธยมศึกษาปีที่ 1-6
ธรรมศึกษา นักธรรมตรี-เอก
บาลีศึกษา
อุดมศึกษา ปริญญาตรี คณะสังคมศาสตร์และครุศาสตร์
ข้อมูลวิกิพีเดีย บันทึกประวัติศาสตร์-เล่าเรื่องถิ่นเหนือ

วิธีการชำระเงิน

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาปตท.ถนนกาญจนาภิเษก 2 ออมทรัพย์

JEWELRY-ANTIQUE-AMULET

ระบบสมาชิก

สถิติร้านค้า

หน้าที่เข้าชม4,557,596 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด3,493,894 ครั้ง
เปิดร้าน4 ก.พ. 2558
ร้านค้าอัพเดท22 ต.ค. 2568

ติดต่อเรา

ติดตามสินค้า

พูดคุย-สอบถาม