ประวัติ
วัดพระไกรสีห์
วัดพระไกรสีห์ ตั้ง อยู่ริมคลองแสนแสบ ถนนคลองตัน-บางกะปิ ตำบลหัวหมาก อำเภอบางกะปิ จังหวัดกรุงเทพมหานคร คลองแสนแสบนี้รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าให้ขุดขึ้นเพื่อใช้เส้นทางยุทธศาสตร์ในการทำสงครามระหว่างไทยกับเข รมและญวน
ในปีพุทธศักราช ๒๓๘๑ เนื่องจากการขนส่งเสบียงอาหาร และการไปมาระหว่าง กรุงเทพฯกับเขรมและญวนนั้นลำบากและเสียเวลามาก ดังนั้นในปีพุทธศักราช ๒๓๘๑ เดือนยี่ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีระกา นพศก จึงโปรดเกล้าให้พระยาศรีพิพัฒน์รัตนโกษา
เป็นแม่กองจ้างจีนขุดลอกคลองตั้งแต่หัวหมากไปจยถึงบางขนาก เป็นระยะทาง ๑,๓๓๗ เส้น ๑๙ วา ๒ ศอก กว้าง ๖ วา ลึก ๔ ศอก ราคาเส้นละ ๗๐ บาท รวมเป็นเงินประมาณ ๙๖,๐๐๐.- บาท ขุดเสร็จในปีพุทธศักราช ๒๓๙๓ ปีชวด โทศก
ตอนต้นคลองเรียกว่า คลองแสนแสบ ตอนปลายคลองเรียกว่า คลองขนาก คลองนี้เป็นคลองที่เชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำบางปะกงซึ่งช่วยย่นระยะทางไปมาระหว่างเมืองปาจิน(ปราจีนบุรี) แปดริ้ว(ฉะเชิงเทรา) กับกรุงเทพฯ
พระประธานในอุโบสถซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย แบบสุโขทัยสมัยกลางระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ ฐานหน้ากระดานแบบเว้า สังฆาฏิเขี้ยวตะขาบพาดยาวเกือบจรดพระนาภี พระพักตร์หน้านาง พระาาสิกโค้งงุ้ม พระเกศาเปลว สันนิษฐานว่าเป็นของเก่าแก่มาก่อน เพราะใสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น เป็นประเพณีนิยมสำหรับผู้ที่สร้างวัดมักจะไปนำพระพุทธรูปจากกรุงเก่ามา ประดิษฐานตามพระราชนิยม ซึ่งสืบทอดมาจากรัชกาลที่ ๑ เมื่อคราวแรกสร้างวัดพระเชนตุพนฯ จากข้อความที่จารึกไว้ในแผ่นหินอ่อนหน้าพระอุโบสถ และจากคำบอกเล่าสืบปากกันมาของท่านผู้เฒ่าที่มีพื้นเพแถบนี้ วัดพระไกรสีห์ นั้นเดิมชื่อ "วัดกลิ่นวิไลยธาราม" สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาเมื่อในสมัยรัชกาลที่ ๓ ในการไปทำสงครามกับญวนโดยการนำของท่านเจ้าพระยาบดินทร์เดชา(สิงห์ สิงหเสนี) ได้ถือโอกาสให้ทหารในกองทัพร่วมกันสร้างวัดเทพลีลา(ตึก) เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวและปลุกกำลังใจ โดยเหตุที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกันและการก่อสร้างมีถาวรวัตถุใหญ่โตและมั่นคงกว่า จึงเป็นสาเหตุให้ชาวบ้านแถบนั้นเรียกวัดกลิ่นวิไลยธารามว่า "วัดน้อย" ครั้นเมื่อศก ๑๓๑ ตรงกับปีชวด พุทธศักราช ๒๔๕๖ พระมงคลทิพย์มุนี(มา) วัดจักรวรรดิ์(สามปลื้ม)ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น"สมเด็จพระพุฒาจารย์"ในปีเดียวกันได้มาทำการบูรณะพระอุโบสถ ดังมีรายชื่อผู้บริจาคทรัพย์และที่ดิน ปรากฎในแผ่นหินอ่อน ดังนี้
๑.พระครูสุนทราจารย์ (จุ้ย) ๔๐.-บาท
๒.พระปลัดสอน นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๓.พ่อท้วม แม่แดง นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๔.แม่เทียม แม่เปรี่ยน นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๕.แม่ปุก นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๖.แม่ทรัพย์ หลวงสุดใจ นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๗.แม่แส นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๘.แม่หยัด นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๙.แม่ย้อย นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๑๐.แม่เปรื้อง นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๑๑.แม่ตาด นา ๓ ไร่ ๓๐.-บาท
๑๒.แม่ทองคำ นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๑๓.แม่ผัน นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๑๔.พ่อวอน นายร้อยตรีสุ่ม นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๑๕.แม่ทิม นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๑๖.แม่ทองคำ นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๑๗.แม่ปาน นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๑๘.เจ้ากรมเป๋อ แม่เหมือน นา ๑ ไร่ ๑๔.-บาท
๑๙.แม่อยู่ นา ๒ งาน ๗.-บาท
๒๐.แม่ทรัพย์ ๒๐.-บาท
การบริจาคทรัพย์และที่ดินในคราวนี้มีมีแม่พันเป็นหัวหน้ารวมที่นาได้ทั้งหมด ๑๘ ไร่ ๒ งาน เก็บเงินได้ทั้งสิ้น ๓๑๒.-บาท
พระอุโบสถหลังนี้เป็นแบบ "มหาอุต" มีทางเข้าข้างหน้าเพียงหน้าเดียว หันหน้าเข้าหาคลองแสนแสบ เมื่อทำการบูรณะพระ
อุโบสถเสร็จเรียบร้อยจึงได้ทำการเพิ่มนามต่อท้ายจากชื่อที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดน้อย มาเป็น "วัดน้อยพระไกรษี"
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีพระภิกษุผลัดเปลี่ยนกันจำพรรษาอยู่มิได้ขาด เนื่องจากเป็นวัดที่มีความเหมาะสมแก่การบำเพ็ญ
สมณธรรม ปรากฎรายชื่อเจ้าอาวาสเดิมตามที่สืบได้ ดังนี้
๑.พระอธิการมั่น (พ.ศ.๒๔๕๐-พ.ศ.๒๔๖๐)
๒.พระอธิการจัน (พ.ศ.๒๔๖๐-พ.ศ.๒๔๖๔)
๓.พระจือ (พ.ศ.๒๔๖๔-พ.ศ.๒๔๖๙)
๔.พระอธิการแก้ว (พ.ศ.๒๔๖๙-พ.ศ.๒๔๗๕)
๕.พระครูเพิ่ม (พ.ศ.๒๔๗๕-พ.ศ.๒๔๙๑)
๖.พระอธิการถวัลย์ (พ.ศ.๒๔๙๑-พ.ศ.๒๕๓๓)
๗.พระครูอุดมพัฒนคุณ (พ.ศ.๒๕๓๔-ปัจจุบัน)
ครั้น ต่อมาพระครูวิริยกิจจาทร เจ้าอาวาสองค์ก่อนได้พิจารณาเห็นว่าพระอุโบสถเดิมชำรุดมากเนื่องจากก่อสร้าง มานานและได้ทำการบูรณะมาแล้วครั้งหนึ่ง ประกอบกับเล็งเห็นความเจริญที่กำลังขยายตัวออกมา จึงได้ร่วมกับผู้มีจิตศรัทธาทำการก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้น ซึ่งทำการวางศิลาฤกษ์โดยพระอมรเมธาจารย์ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๔ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๑๕ แรม ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีชวด
จ.ศ.๑๓๓๔ เวลา ๑๗.๕๔-๑๘.๑๒ น. และเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๘ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๙ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๒ ปีมะโรง จ.ศ.๑๓๓๘ เวลา ๑๕.๕๒-๑๖.๑๙ น.
จึงได้ทำการยกช่อฟ้าพระอุโบสถ โดยพระวิสุทธิวงศาจารย์ วัดสุทัศน์เทพวรารามปัจจุบันได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น
"สมเด็จพระพุฒาจารย์"
พระอุโบสถหลังใหม่ทำการก่อสร้างแบบ ก. ของกรมศิลปากร เป็นทรงไทยสมัยกรุงเทพมหานคร มีเสาวิหาร ซุ้มประตู
หน้าต่างแบบบุษบก ตั้งอยู่หลังของพระอุโบสถเดิม หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา
เมื่อวันที่ ๒๕ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๑๖ เป็นเนื้อที่กว้าง ๓๒ เมตร ยาว ๔๙ เมตร และเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นทางการว่า
"วัดพระไกรสีห์"(น้อย) ตั้งแต่นั้นตลอดมา