พระครูวิบูลย์ธรรมวาที (หลวงพ่ออ้วน อคฺควณฺโณ) วัดสุวรรณอินทร์ทอง ตำบลเมืองแก อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
เทพเจ้าแห่งความเมตตาอุดมโชคลาภ
พระภิกษุที่งดงามไปด้วย วัตรปฏิปทาศีลจริยวัตรและจรณะของความเป็นพระสุปฏิปันโน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบบนหนทางเอกสายเดียว ทุขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจอันมีองค์ 8 ประกอบด้วย อยู่ในทางเอกสายเดี่ยวท่านดำรงขันธ์แห่งการว่างจากอุปทานขันธ์ในสมณเพศได้ 47 พรรษาอายุการแห่งขันปัจจุบันสมัยได้ 68 ปี
บุญบารมี คุณวิเศษ มหิทธานุภาพและบุญญาธิการประจำตัวท่านนับว่าเอนกอนันต์เพียงแค่เอ่ยชื่อขึ้นเท่านั้นยังไม่ไปถึงตัวท่านอุบาสกอุบาสิกาและสาธุชนทั้งใกล้และไกลต่างการพนมมือยกขึ้นท่วมหัวกล่าวคำว่า”สาธุ”เป็นที่น่าอัศจรรย์เสียแล้ว
สำหรับญาติโยมที่ยังไม่ได้สัมผัสกับบุญบารมีของท่านเองจะได้ยินได้ฟังจากเสียงลือเสียงเล่าอ้างพหุชนนานา จิตใจก็รู้สึก “ศรัทธาปัญฑระ” เลื่อมใสในตัวท่านบังเกิดขึ้นในทันทีแต่นั่นก็ยังเป็นเพียงจิตเลื่อมใสที่ยังถูกกิเลสตัณหาครอบงำอย่างหนาแน่นอยู่
ต่อเมื่อได้มาพบปะตัวท่านจริงๆนั่นแหละคำว่า “ศรัทธาปสาทะ” จึงจะบังเกิดขึ้นในดวงจิตวิญญาณของญาติโยมโดยแท้ ซึ่งเป็นดวงจิตเลื่อมใสสะอาด สว่าง สงบ กิเลสตัณหาเบาบางลงทันใด เพียงแค่ได้พบเห็นตัวท่านบุญฤทธิ์ของท่านก็มีพลังแปรเปลี่ยนจิตใจญาติโยมจาก “ศรัทธาปัญฑระ”ไปเป็น”ศรัทธาปสาทะ”และหากได้เข้าถึงตัวท่านโดยแท้จริงแล้วก็จิตวิญญาณของญาติโยมจะต้องไปสู่สุคติ สวรรค์ พรหม อย่างไม่มีปัญหา
ใช่แล้วครับ”ท่าน” ที่กล่าวถึงนั่นก็คือ “หลวงพอพระครูวิบูลย์ธรรมวาที” หรือ “หลวงพ่ออ้วนวัดหนองตาด” จอมปราชญ์บนถนนหมายเลข 214 จากร้อยเอ็ดเป็นต้นไปจนจรดชายแดนไทย-กัมพูชาช่องจอมเป็นบั้นสุด
และ ณ วันนี้ผู้เขียนจักเข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อท่านแห่ง วัดสุวรรณอินทร์ทอง บ้านหนองตาด หมู่ที่ 8 ตำบลเมืองแก อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ พร้อมๆ กับทานผู้ฟังที่เคารพทุกท่านครับผม
ชาติภูมิอุบัตินักปราชญ์แห่งฌาณ
หลวงพ่ออ้วนท่านพูดจา ที่เพียบพร้อมไปด้วยองค์คุณของ มรรคสัมมาวาจา เนิบนาบ หนักแน่นน้ำเสียงแจ่มใสไพเราะ. เยือกเย็นเป็นที่จับจิตจับใจ เหล่าญาติโยมยิ่งนัก
เพียงจุดนี่นักโหราศาสตร์ทาานก็จะสามารถคาดการณ์ในหลักใหญ่ว่าหลวงพ่อท่านเป็นคนเกิดในราศีใด
กราบเรียนนมัสการถามท่านทราบว่า ท่านถือกำเนิดมาเมื่อ วันพุธ เวลา 20 นาฬิกา แรม 10 ค่ำเดือน 10 ปีจอ พ.. 2465 หมู่บ้านหนองแต้ (บ้านเก่าของหมู่บ้านหนองตาด) ต.เมืองแก อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์นั่นเอง
โยมบิดาชื่อนายทา มีทรัพย์ โยมมารดาชื่อนางปา มีทรัพย์ มีญาติพี่น้อง 6 คน ชาย 2 คนหญิง 4 คน หลวงพ่ออ้วนท่านได้ชื่อว่าเป็น “ภัพพบุคคล” มาแต่กำเนิดเพราะกระแสนิสัยของท่านโนมนำไปในทางกุศล เชื่อกรรมทำ ดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว มาโดยตลอดนับแต่อายุจำความได้นู่นแหละซึ่งอุบาสิกา และโยมอุปัฏฐาก ประจำวัดสุวรรณอินทองหลวงตาด ท่านหนึ่งคือ คุณแม่มาลา สุวรรณมาลา บุคคลร่วมสมัยกับหลวงพ่ออายุปัจจุบัน 73 ปีเป็นผู้ยืนยันเรื่องนี้ได้อย่างดีหลวงพ่ออ้วนท่านจบการศึกษาภาคบังคับแล้วจิตใจของท่านก็จดจ่ออยู่แต่สมณะเพศ มองเห็นเพศบรรพชิตภายใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์งดงามจับตาเป็นที่สุดและแล้วความปรารถนาของท่านก็ถึงจุดสุกงอม หลังจากได้ฟังเทศน์ฟังธรรมจากสมณเพศรูปหนึ่งมีอรรถและพยัญชนะแปลกลึกซึ่ง เกิดความสว่างขึ้นในดวงปัญญา
“สาธุชนทั้งหลายไม่ควรประมาท”
“สาธุชนทั้งหลายไม่ควรประมาท” “ในการที่พวกเราได้มาเกิดเป็นมนุษยชาติเป็นคติอันสมบูรณ์ไปด้วยของวิเศษต่างๆในอริยทรัพย์เป็นเครื่องประดับซึ่งสาธุชนทั้งหลายพากั้นปรารถนาอยู่แล้วองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานชี้ขุมทรัพย์ให้
เมื่อมรดกอันล้ำค่าของพุทธองค์สามารถและเอาซึ่งของวิเศษทั้งหลาย มีมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติเป็นต้น อันมนุษย์ในโลกนี้ปรารถนาอยู่แต่ยังไม่ถึงเห็นเวลานี้มรดกนั้นได้ตกเข้ามาถึงมือของพวกเราแล้วตามความประสงค์ไฉนเล่าพวกเราถึงไม่ยอมรับและใช้จ่ายให้เป็นประโยชน์แก่เราบ้างเลย
สาธุชนทั้งหลายจงพากันรีบ จงพากันรีบชม จงพากันรีบใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเสีย
บรรพชาและอุปสมบท”เนื้อนาบุญของโลก”
ผู้เขียนได้กราบเรียนนมัสการพูดคุยกับหลวงพ่อได้ดำเนินไปอย่างช้าๆเพราะญาติโยมขึ้นหาท่านนั้นมีมากกลุ่มนี้มา กลุ่มนั้นไปไปๆมาๆอยู่อย่างนี้ตลอดทั้งวันซึ่งโดยมากก็มากิจธุระให้หลวงพ่อท่านรดน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ประสิทธิ์ประสาทพรให้สะเดาะเคราะห์ รดน้ำมนต์เลิกเหล้า มาขอหวยโชคลาภและกระทำพิธีเจิม
กิจดังกล่าวของหลวงพ่ออ้วนท่านไม่มีการให้ ญาติโยมคนใดคนหนึ่งผิดหวังกลับไป
ต่างได้รับคนเมตตาหลวงอุดมโชคมหาลาภ สุขสมหวังตามผลบุญประจำตัวกันทุกคน
เนื่องจากได้รับแสงสว่าง การฟังเทศน์ ฟังธรรม ครั้งนั้นท่านก็เข้ารับการบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดสว่างอุดมท่าศิลา บ้านศิลา ตำบลเมืองแก อยู่ห่างบ้านหนองตาดไปทางทิศเหนือประมาณ 2 กิโล บนถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 214 มีพระอาจารย์หลวงพ่อศรีธาตุ เป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์แล้วมาประจำอยู่ วัดสุวรรณอินทร์ทองกับ
หลวงพ่อหว่าง กันตสีโล จนศึกษาท่องสังวัธยายบทสวดเจ็ดตำนาน สิบสองตำนานได้คล่องแคล่วและชำนาญ
หลวงพ่อท่านบอกว่ากิจวัตรของท่านที่ปฏิบัตจนกลายเป็นกระแสนิสัยตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณรมาจนถึงปัจจุบันนี้และตลอดไปคือต้องสวดมนต์เจ็ดตำนานสิบสองตำนานเป็นประจำทุกวันไม่เคยขาด
เครื่องขยายต่อแก้ความสงสัยที่ว่าเมื่อต้องสวดได้แล้วจะต้องมาสวดอีกทำไมจนกลายเป็นกิจวัตรผู้คนใดเมื่อพืชขาดทุนมาเจอหน้าเลยเจ็ดตำนานสิบสองตำนานนี่แหละ คือบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสากลโลกสวดมนต์ยิ่งบ่อยเข้าเท่าไหร่อำนาจพลานุภาพย่อมบังเกิดมีขึ้นมากเท่านั้นเป็นเงาตามตัวได้ เมื่อก่อนผู้เขียนเห็นภิกษุสามเณรสวดพุทธมนต์เจ็ดตำนานและสิบสองตำนานกันเฉพาะเทศกาลเข้าพรรษา ต่อมาอายุหลวงพ่อท่านครบอุปสมบทจึงเข้ารับการอุปสมบทโดยมีหลวงพ่อศรีธาตุ หรือ พระครูศรีสัทธารมณ์เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารย์ม้วน เป็นพระกรรมวาจาจารย์
และพระอาจารย์มหาสิงห์ (เจ้าคณะอำเภอท่าตูมสมัยนั้น) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ณ พระอุโบสถวัดสว่างอุดมท่าศิลา บ้านท่าศิลานั่นเองซึ่งเป็นปีพุทธศักราช ๒๔๘๕ แล้วก็ยังคงประจำอยู่ในวัดสุวรรณอินทองเหมือนเดิม
ปี พ.ศ. 2488 หลวงพ่อท่านได้วิเวกธรรมธุดงค์จาริกไปประจำอยู่จังหวัดขอนแก่น ณ วัดม่วงศรี ตำบลพลับ อำเภอเมืองได้ศึกษาการเทศน์กาปฐกถาธรรมและไวยากรณ์บาลีจนแตกฉาน
ปี 2490 ได้วิเวกธรรมมาอยู่กับพระอาจารย์มหาทองเย็น (เปรียญธรรม 6) ณ วัดบ้านหนองแวง ตำบลดอนฉิม อำเภอพล จังหวัด ขอนแก่น ได้เรียนแปลพระธรรมบทและอุบาย( วสี ) การเข้า การทรงอยู่ การออกซึ่ง “ฌาณ” พระกรรมฐานกับอาจารย์จนคล่องและชำนาญ
กระทิงยักษ์คร่าชีวิตที่ “กะปง”
พ.ศ.2492 หลวงพ่อท่านได้วิเวกธรรมภาคปฏิบัติที่ ยึดเขาป่าดงดิบรกชัฏในเขตพื้นที่ อำเภอกะปง จังหวัดพังงา ซึ่งมีลักษณะที่เหมาะเป็นสัปปายะในการปฏิบัตธรรมยิ่งโดยพำนักอยู่กับพระอาจารย์อภิญญาาภี วัดโฆสิตาราม พระอาจารย์ได้ให้คำแนะนำว่า “เมื่อมีจิตใจพัฒนามีศรัทธาเลื่อมใสในคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างมั่นคงหนักแน่นมีสันดานเบาบางคลายจากความเขลา โมหะ กิเลส ก็จะมีอานิสงฆ์ส่งผลให้บรรลุฌานแก่บุคคลผู้บำเพ็ญสมถกรรมฐานและได้บรรลุมรรคผลแก่บุคคลผู้บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานภาวนา หลวงพ่ออ้วนท่านได้รับคำแนะนำให้ปฏิบติสมถกรรมฐานเอาอัปปมัญญา 4 ยกขึ้นเป็นอารมณ์กรรมฐานปฏิบัติเมตตาอัปปมัญญา กรุณาปมัญญา มิทิตาอัปปมัญญาตามลำดับก็จะทำใหบรรลุ ถึงได้ฌานที่ 4 (จตุถฌาณ) หากไปถึงอุเบกขาอัปปมัญญาก็มีอำนาจส่งผลให้ผู้บําเพ็ญบรรลุได้ฌานสมาบัติ 8 หลวงพ่อท่านได้ปฏิบัติด้วยความมีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา อย่างจริงจังและเข้มงวดตลอดปีกว่าจนเห็นว่า ชำนาญ พอเอาตัวรอดได้จึงได้จึงร่ำลา พระอาจารย์ออกไปวิเวกต่อไป ขณะจารึกเดินทางอยู่ท่านก็ได้เจอพญากระทิงยักษ์วิ่งพรวดพราดมาแต่ไกลตรงแน่วดิ่งมายังเส้นทางที่ท่านกำลังดำเนินอยู่จากการที่ได้ฝึกจิตจนชินและคลองสติและสัมปชัญญะคือครองอยู่กับตัวตลอดเวลาแล้วยกเอาเมตตาอัปปมัญญาขึ้นไปรวมกับพลังของสมาธิฝ่ายพญากระทิงก็โลดแล่นเกือบชนถึงตัวท่านห่างกันประมาณ 4-5 วา เห็นจะได้ท่านจึงได้ยกมือข้างขวาขึ้นเพียงเท่านั้นช่างมหัศจรรย์อะไรเช่นนี้กระทิงได้หยุดชะงักทันใดแล้วก็วิ่งเตลิดไปครั้งหนึ่งเสียไกลลิบ
แล้วท่านจารึกมาหาวิเวกธรรม ณ วัดทุ่งจันทร์ ตำบลหล่มสัก อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ฝึกฌาณจนเกิดอภิญญา ได้เป็นพระอาจารย์สอนกรรมฐานสอนนักธรรมและสอนแปลพระธรรมบทตลอด 2 ปี 15 วัน ณ วัดดังกล่าวบุญบารมีของหลวงพ่อทั้งในความ เป็นพระนักเทศน์ พระนักปฏิบัติ พระนักโหราศาสตร์ พระนักน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ก็เริ่มมีชื่อขจรขจายในหมู่ญาติโยมกันอย่างกว้างขวาง
ดอกบุญกุศลบานสะพรั่งณวัดสุวรรณอินทร์ทอง
คุณพี่แดง มีทรัพย์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านหนองตาเ ให้ข้อมูลต่อผูเขียนว่าปี พ.ศ.2496 ญาติโยมหนองตาดพากันไปกราบนมัสการนิมนต์หลวงพ่ออ้วนมาประจำเป็นเจ้าอาวาสวัดสุวรรณอินทร์ทองตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาหลวงพ่ออ้วนท่านก็เป็นหลักนำใจด้านจิตวิญญาณของญาติโยมทั้งใกล้และไกลในถิ่นมาตุภูมิอย่างสมกับเป็นสมณศากยะบุตรโดยแท้จริง เฉลี่ยแล้วญาติโยมขึ้นหานมัสการท่านตกวันละ 50-60 คน บางกลุ่มก็ขึ้นมาเพื่อขออุตมโชคมหาลาภกัน แล้วเอาไปตีเป็นหวยรวยเบอร์กัน รายการนี้นับว่าชื่อเสียงของหลวงพ่อท่านกระฉ่อนที่สุดในสาระของความแม่นฉมัง
บางกลุ่มก็ขึ้นหาเพื่อกระทำพิธีเลิกเหล้าเพราะ ทำกับหลวงพ่อได้ผลชะงัดอย่างบริสุทธิ์สะอาดที่สุด
บางกลุ่มเอาสิ่งของมาให้ท่านเจิมปรากฏว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างแทบไม่น่าเชื่อและยิ่งเป็นยานพาหนะด้วยแล้วแคล้วคลาดอัศจรรย์ภยันตรายใดๆ พูดถึงน้ำมนต์ของท่านและก็นับว่ามีความพิเศษเอนกอนันต์สามารถป้องกันสิ่งชั่วร้ายนานัปการได้เป็นอย่างดี