ผูก “ดวงเมือง” เมื่อแรกสร้างกรุง
ดวงชะตาของประเทศไทยถูกคำนวณและกำหนดจากตำแหน่งของดวงดาวตามทัศนะโหรานภาศาสตร์ ระบบนิรายนะ ดวงชะตานี้ได้คำนวณตามเวลาขณะที่ทำพิธีฝังเสาหลักเมือง เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2325 เวลาดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วประมาณ 52 นาที (แต่ในพงศาวดารระบุว่า 54 นาที – ไกรฤกษ์ นานา)
“พระฤกษ์” เบื้องต้นของดวงเมืองกรุงรัตนโกสินทร์มีระบุอยู่ในบทสร้างกรุงฯ ของพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ชำระโดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ร.ศ. 120 (พ.ศ. 2444) มีใจความว่า
สร้างกรุงรัตนโกสินทร์
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เริ่มต้นแต่ปีขาล จัตวาศก จุลศักราช 1144 ปี (พ.ศ. 2325) เมื่อพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว พระองค์เป็นปฐมในพระบรมราชวงศ์ปัตยุบันนี้ได้ทรงรับอัญเชิญของเสนามาตย์ราษฏรทั้งหลาย เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครอบครองสยามประเทศ และทรงปราบปรามความจลาจลในกรุงธนบุรีเรียบร้อยแล้ว จึ่งทรงพระราชดำริว่าเมืองธนบุรีนี้ ฝั่งฟากตะวันออกเป็นที่ชัยภูมิดีกว่าที่ฟากตะวันตก โดยเป็นที่แหลมมีลำแม่น้ำเป็นขอบเขตต์อยู่กว่าครึ่ง
ถ้าตั้งพระนครข้างฝั่งตะวันออก แม้นข้าศึกยกมาติดถึงชานพระนครก็จะต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่าอยู่ข้างฝั่งตะวันตก ฝั่งตะวันออกนั้นเสียแต่เป็นที่ลุ่ม เจ้ากรุงธนบุรีจึ่งได้ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นที่ดอน แต่ก็เป็นที่ท้องคุ้งน้ำเซาะทรุดพังอยู่เสมอไม่ถาวร พระราชนิเวศน์มนเทียรสถานเล่า ก็ตั้งอยู่ในอุปจาร ระหว่างวัดแจ้งและวัดท้ายตลาดขนาบอยู่ทั้ง 2 ข้าง ควรเป็นที่รังเกียจ ทรงพระราชดำริดังนี้ จึ่งดำรัสสั่งให้พระยาธรรมาธิกรณ์กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปวัดกะที่สร้างพระนครใหม่ข้างฝั่งตะวันออก ได้ตั้งพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อ ณ วันอาทิตย์เดือนหกขึ้นสิบค่ำ ฤกษ์เวลาย่ำรุ่งแล้ว 54 นาที
พระราชวังใหม่ให้ตั้งในที่ซึ่งพระยาราชาเศรษฐีและพวกจีนอาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่แต่ก่อน โปรดให้พระยาราชาเศรษฐี และพวกจีนย้ายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ที่สวน ตั้งแต่คลองวัดสามปลื้มไปจนถึงคลองวัดสามเพ็ง จึ่งได้ฐาปนาสร้างพระราชนิเวศน์มนเทียรสถาน ล้อมด้วยปราการระเนียดไม้ไว้ก่อน พอเป็นที่ประทับอยู่ควรแก่เวลา
อันว่าดวงชะตานี้ได้คำนวณตามเวลาขณะที่ทำพิธีฝังหลักเมือง ในวันที่ 21 เมษายน 2325 ตรงกับปีขาล วันกลียุคศักราช 1,783,568 วัน ดวงอาทิตย์อุทัย 0620
ดวงอาทิตย์ ในวันนี้ได้โผล่ขึ้นที่ขอบฟ้าเวลา 0620 แต่เวลาเริ่มฝังหลักเมืองเป็นเวลา 0654 แสดงว่าดวงอาทิตย์ได้โผล่ขึ้นจากขอบฟ้ามาแล้วประมาณ 52 นาที คิดเป็นมุมสูงจากขอบฟ้าประมาณ 13 องศา
ดวงจันทร์ อยู่ภาคทางทิศตะวันออก อประจักราหรือภาคมืดในตำแหน่งใกล้เคียงกับปาตละพินทุทำมุมกับดวงอาทิตย์ประมาณ 92 องศา 48 ลิปดา
ดาวอังคาร กำลังจะโผล่ขึ้นจากขอบฟ้าในตำแหน่งอสุระสนธยา ทำมุมกับดวงอาทิตย์ประมาณ 39 องศา 22 ลิปดา ทางทิศตะวันออก
ดาวพุธและดาวศุกร์ ได้โผล่ขึ้นจากขอบฟ้าไปแล้วอยู่ในตำแหน่งเทวะสนธยาและกำลังอยู่ในภาคปูรวะจักรา โดยดาวพุธทำมุมกับดวงอาทิตย์ 25 องศา 49 ลิปดา ทางทิศตะวันตก ส่วนดาวศุกร์ทำมุมกับดวงอาทิตย์ 38 องศา 37 ลิปดา ทางทิศตะวันตกเช่นเดียวกัน
ดาวพฤหัสและดาวเสาร์ ได้พ้นตำแหน่งศิโรพินทุไปแล้ว และอยู่ในภาคปูรวะจักรา โดยดาวพฤหัสทำมุมกับดวงอาทิตย์ 123 องศา 9 ลิปดา ทางทิศตะวันตก ส่วนดาวเสาร์ทำมุมกับดวงอาทิตย์ 123 องศา 22 ลิปดา ทางทิศตะวันตกเช่นเดียวกัน
การพิจารณาดวงชะตาเดิมโดยสังเขปของประเทศไทย อาจจะพิจารณาจากดวงดาวแต่ละดวงได้ดังนี้
ดวงอาทิตย์ หมายถึง พระมหากษัตริย์ ผู้นำประเทศ อธิปตัย นายกรัฐมนตรี ฯลฯ ดวงอาทิตย์เป็นเจ้าเรือนเกษตรภพที่ 5 สถิตย์อยู่ในตำแหน่งปรมะอุจจ ซึ่งเป็นเรือนเกษตรของดาวอังคาร และร่วมกับลัคนาในราศีเมษ ได้รับแสงจากดาวพฤหัส และอยู่ในตำแหน่งภาวะการกะ เรียกว่า ลัคนาการกะ มีความหมายว่า ประเทศไทยจะต้องมีพระมหากษัตริย์ มีผู้นำประเทศและอธิปตัยอย่างแน่นอนและมั่นคง เป็นที่ยอมรับนับถือของประเทศทั่วๆ ไป และโดยที่ดวงอาทิตย์เป็นเจ้าเรือนภพที่ 5 ด้วย แสดงว่าการสืบพระราชสันตติวงศ์ก็ดี การที่จะมีผู้นำประเทศก็ดี ย่อมจะต้องมีติดต่อเรื่อยไปโดยไม่มีการขาดตอน และจะได้รับการสนับสนุนจากผู้ทรงคุณวุฒิ สมณชีพราหมณ์จารย์ ตลอดจนประชาชน และโดยที่ดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งภาวะการกะ ซึ่งหมายความว่า เป็นประเทศที่รักศักดิ์ศรีถือเกียรติ เป็นต้น
ดวงจันทร์ หมายถึง หลักทรัพย์ อัตราการเกิด ฯลฯ ดวงจันทร์เป็นเจ้าเรือนอุจจภพที่ 2 นับจากลัคนา และสถิตย์อยู่ในตำแหน่งเกษตรภพที่ 4 เป็นดาวโทน ไม่ได้รับแสงดาวดวงใดทั้งสิ้น แต่ตนเองมีแสงมากพอสมควร และอยู่ในตำแหน่งภาวะการกะ เรียกว่า มาตฤการกะ มีความหมายว่า ประเทศไทยจะต้องมีหลักฐานของตนเองอย่างมั่นคง มีพระราชอาณาเขตเป็นที่แน่นอน ไม่มีทางที่จะเป็นเมืองขึ้น หรือถูกยื้อแย่งดินแดนไปเป็นของประเทศอื่น
ดาวอังคาร หมายถึง บุรุษในเครื่องแบบ แสนยานุภาพ อาวุธยุทธภัณฑ์ ฯลฯ ดาวอังคารเป็นเจ้าเรือนลัคนา เจ้าเรือนเกษตรภพที่ 8 เจ้าเรือนอุจจภพที่ 10 เป็นดาวโทน สถิตย์อยู่ในภพที่ 2 ซึ่งเป็นเรือนเกษตรของดาวศุกร์ และไม่ได้รับแสงจากดาวดวงใดเลย แต่ดาวอังคารยังให้แสงถึงเรือนของตนเองอีกด้วย คือ ในภพที่ 8 นับจากลัคนา มีความหมายว่า ในยามสงครามก็ดี ในยามที่บ้านเมืองได้รับภยันตรายใดๆ ก็ดี กำลังทหารที่มีอยู่นั้นสามารถป้องกันเอกราชและอธิปตัยของประเทศชาติได้เสมอ
ดาวพุธ หมายถึง การค้าขาย พ่อค้าวาณิชย์ ฯลฯ ดาวพุธเป็นเจ้าเรือนเกษตรภพที่ 3 และภพที่ 6 นับจากลัคนา แต่สถิตย์อยู่ในตำแหน่งนิจจในเรือนเกษตรของดาวพฤหัสซึ่งเป็นภพที่ 12 นับจากลัคนา เป็นดาวที่ได้รับแสงจากดาวศุกร์ ซึ่งเป็นอุจจ และราหู ในสถานะที่สถิตย์อยู่เรือนเดียวกัน นอกจากนี้ดาวพุธยังเป็นโยคะมารกะของลัคนาราศีเมษ ดาวพุธเป็นดาวเคราะห์วงในมีระยะเชิงมุมถึง 25 องศา 49 ลิปดาซึ่งเกือบเพ็ญ และถูกตำแหน่งคือเป็นเทวะสนธยา มีความหมายว่า บรรดาพ่อค้าทั้งหลายจะไม่มีอำนาจควบคุมการบริหารงานหรือมีอำนาจเหนือรัฐบาล และโดยที่ดาวพุธเป็นนิจจอยู่ภพที่ 12 ด้วย ซึ่งเป็นเหตุที่บรรดาพ่อค้าทั้งหลายไม่กล้าที่จะดำเนินการผิดศีลธรรมอันจะเป็นเหตุที่จะก่อความเดือดร้อนให้แก่ประเทศ
ดาวพฤหัส หมายถึง อำมาตย์ผู้ใหญ่ พราหมณ์ปุโรหิต ผู้ทรงคุณวิชา ฯลฯ ดาวพฤหัสสถิตย์อยู่ในภพที่ 9 ได้ตำแหน่งเกษตร และเป็นเจ้าเรือนเกษตรภพที่ 12 เป็นเจ้าเรือนอุจจภพที่ 4 ได้รับแสงจากดาวเสาร์ในสถานะที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกัน ได้รับแสงจากดาวอังคาร และยังให้แสงถึงลัคนาและดวงอาทิตย์อีกด้วย นอกจากนี้ยังอยู่ในตำแหน่งภาวะการกะ ซึ่งเรียกว่า ศุภการกะ และกำลังวักระหรือพักร มีความหมายว่า บ้านเมืองจะอยู่เย็นเป็นสุข ประชาชนจะอยู่ดีกินดี มีศีลธรรม มีมาตรฐานการครองชีพที่เหมาะสมกับสถานะของตนเอง ผู้ที่คิดก่อความไม่สงบต่อประเทศชาติหรือผู้ที่ไม่มีศีลธรรมจะต้องพ่ายแพ้ต่อฝ่ายธรรมะเสมอ
ดาวศุกร์ หมายถึง การเงิน งบประมาณ เงินกู้ ฯลฯ ดาวศุกร์สถิตย์อยู่ในภพที่ 12 ได้ตำแหน่งอุจจในเรือนเกษตรของดาวพฤหัส เป็นเจ้าเรือนเกษตรภพที่ 2 และภพที่ 7 นับจากลัคนา ดาวศุกร์ได้รับแสงจากดาวพุธ ซึ่งเป็นนิจจ และราหู ในสถานะที่สถิตย์ร่วมเรือนเดียวกัน ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์วงใน มีระยะเชิงมุม 38 องศา 37 ลิปดา ซึ่งนับว่าอยู่ในอาณัติเพ็ญ แต่ผิดตำแหน่ง คือเป็นเทวะสนธยา มีความหมายว่า สถานภาพทางการเงินค่อนข้างจะมั่นคงมาก เป็นเงินตราสกุลแข็งสกุลหนึ่ง นอกจากจะมีเงินคงคลังเก็บสำรองไว้แล้วยังได้รับการช่วยเหลือทางด้านเงินตราจากต่างประเทศเสมอๆ
ดาวเสาร์ หมายถึง ชนชั้นกรรมาชีพ ผู้ก่อการร้าย การโฆษณาชวนเชื่อ ฯลฯ ดาวเสาร์สถิตย์อยู่ในภพที่ 9 ในเรือนเกษตรของดาวพฤหัสร่วมกับดาวพฤหัส และได้รับแสงจากดวงอังคาร ดาวเสาร์เป็นเจ้าเรือนเกษตรภพที่ 10 ภพที่ 11 เป็นเจ้าเรือนอุจจภพที่ 7 นับจากลัคนา และยังให้แสงถึงภพที่ 11 ซึ่งเป็นเรือนเกษตรของตนเองอีกด้วย กำลังอยู่ในตำแหน่งวักระ มีความหมายว่า การโฆษณาชวนเชื่อก็ดี การก่อการร้ายหรืออื่นๆ ซึ่งจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติแล้ว จะไม่มีหนทางที่จะเอาชนะต่อฝ่ายรัฐบาลได้เลย และยังไม่สามารถจะเอาชนะจิตใจของประชาชนได้อีกด้วย การที่ดาวอังคารให้แสงถึง หมายความว่า แม้จะมีการก่อการร้ายใดๆ ก็ตามกำลังทหารของฝ่ายรัฐบาลสามารถปราบปรามได้สิ้น
ราหู หมายถึง ฝ่ายตรงข้ามกับประชาธิปไตย ลัทธินอกแบบ ฯลฯ ราหูสถิตย์อยู่ในภพที่ 12 ร่วมกับดาวพุธ และดาวศุกร์ มีความหมายว่า ลัทธินอกแบบก็ดี คอมมิวนิสต์ก็ดี ซึ่งเข้ามาแพร่ขยายในประเทศไทยจะต้องวินาศในที่สุด นอกจากนั้นประเทศไทยไม่มีการแสวงหาเมืองขึ้น ไม่มีความปรารถนาในดินแดนของผู้อื่นสำหรับประเทศชาติใกล้เคียงกันแล้ว ประเทศไทยสามารถเสียสละบางสิ่งบางประการให้ได้เสมอ
ข้อมูลsilpa-mag