เหรียญ สังกัจจาย์ เต่ามงคลมหาลาภ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี) วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร ปี 2551 เนื้อทองแดง

เหรียญ สังกัจจาย์ เต่ามงคลมหาลาภ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี) วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร ปี 2551 เนื้อทองแดง
เหรียญ สังกัจจาย์ เต่ามงคลมหาลาภ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี) วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร ปี 2551 เนื้อทองแดงเหรียญ สังกัจจาย์ เต่ามงคลมหาลาภ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี) วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร ปี 2551 เนื้อทองแดง
รหัสสินค้า RESUTTMK5101
หมวดหมู่ พระเครื่อง จังหวัด กรุงเทพมหานคร
ราคา 650.00 บาท
สถานะสินค้า พร้อมส่ง
ลงสินค้า 4 มี.ค. 2559
อัพเดทล่าสุด 22 ส.ค. 2568
จำนวน
เหรียญ
หยิบลงตะกร้า
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay
วัดสุทัศนเทพวราราม [สุ-ทัด-เทบ-พะ-วะ-รา-ราม] หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า วัดสุทัศน์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ที่มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งของประเทศไทยและถือเป็นวัดประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในเขตพระนครชั้นใน และอยู่มีสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นคือ เสาชิงช้า อยู่บริเวณหน้าวัด.

ประวัติ
ในต้นยุคกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1โปรดเกล้าฯ ให้มีการสร้างวัดขึ้นในพื้นที่พระนครชั้นใน ในปี พ.ศ. 2350 เดิมพระราชทานนามว่า “วัดมหาสุทธาวาส” โดยมีพื้นที่ตั้งอยู่ในดงสะแก เป็นที่ลุ่มจึงโปรดเกล้าฯ ให้ถมที่และสร้างเป็นวัด และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารขึ้นก่อนเพื่อประดิษฐานพระศรีศากยมุนี (พระโต) ซึ่งอัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย แต่สิ้นรัชกาลก่อนที่จะประดิษฐานเป็นสังฆาราม จึงเรียกกันว่า วัดพระโต, วัดพระใหญ่ หรือวัดเสาชิงช้าบ้าง จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อ และทรงจำหลักบานประตูพระวิหารด้วยพระองค์เอง แต่ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จ การก่อสร้างวัด มาเสร็จบริบูรณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. 2390 และพระราชทานนามว่า "วัดสุทัศน์เทพวราราม" ปรากฏในจดหมายเหตุว่า "วัดสุทัศน์เทพธาราม" และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงผูกนามพระประธานในพระวิหาร พระอุโบสถ และศาลาการเปรียญ ให้คล้องกันว่า "พระศรีศากยมุนี", "พระพุทธตรีโลกเชษฐ์" และ "พระพุทธเสรฏฐมุนี"

ต่อมาในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 กรมศิลปากรได้กำหนดเขตโบราณสถานของวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ให้มีพื้นที่โบราณสถานจำนวน 28 ไร่ 76 ตารางวา

เขตพระวิหารหลวง
อยู่ในเขตพุทธาวาสประกอบด้วยพระวิหารหลวงเป็นอาคารประธานล้อมด้วยระเบียงคดเป็นแนวเขต

พระวิหารหลวง
พระวิหารหลวงเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยประเพณี มีหลังคา 2 ซ้อน 4 ตับ มีมุขลดทรงโถงด้านหน้าและหลัง เสาอาคารด้านนอกเป็นเสาย่อมุมไม้สิบสองบัวหัวเสาประดับเป็นบัวแวง มีคันทวยรับชายหลังคา เสาร่วมในเป็นเสาทรงเหลี่ยมทึบตัน ซุ้มประตูและซุ้มหน้าต่างเป็นทรงบรรพแถลง หน้าบันเป็นไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจกมีการแบ่งลายในกรอบสามเหลี่ยมเป็น 2 ชั้น ชั้นในแกะสลักเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณล้อมด้วยลายกระหนกก้านขดและกระหนกเปลว ปลายกระหนกเปลวแต่ละวงเป็นเทพพนม ชั้นนอกประดับเป็นลายกระหนกก้านขดและกระหนกเปลว ปลายกระหนกเปลวแต่ละวงเป็นเทพพนมเช่นกัน หน้าบันมุขลดเป็นไม้แกะสลักรูปพระนารายณ์ทรงครุฑล้อมด้วยลายกระหนกเปลว ฐานพระวิหารยกสูง 3 ชั้น ชั้นที่ 1 มีประติมากรรมสำริดรูปม้าอยู่ที่มุมของฐาน ชั้นที่ 2 มีเจดีย์แบบจีนล้อมรอบทั้งพระวิหารทั้งหมด 28 องค์ โดยบริเวณเขตพระวิหารหลวงทั้งหมดล้อมด้วยระเบียงคด พระวิหารเริ่มสถาปนาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ในคราวที่มีการอัญเชิญพระศรีศากยมุณีจากเมืองสุโขทัยลงมาประดิษฐานในวัดนี้ แต่ในสมัยรัชกาลที่ 1 สร้างได้เพียงรากฐานเท่านั้น ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้สร้างวิหารเพิ่มเติม และได้สร้างประตูคู่บานกลางด้านหน้า ตามประวัติกล่าวว่าได้ทรงดำริให้ช่างเขียนอย่างเส้นลายบานประตูวัดพนัญเชิงและพระองค์มีส่วนร่วมในการออกแบบและแกะสลักด้วยพระองค์เอง แต่ต่อมาในวันที่ 13 พฤษจิกายน 2502 บานประตูได้ถูกไฟไหม้ชำรุดเสียหายจึงได้ถอดประตูคู่กลางด้านหลังมาใส่แทนดังที่เห็นในปัจจุบันและบานประตูคู่กลางด้านหน้าเดิมได้ถอดไปเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร แต่การก่อสร้างอาคารพระวิหารยังไม่แล้วเสร็จทั้งหมด โดยการก่อสร้างมาแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 3

พระศรีศากยมุนี
พระศรีศากยมุนีเป็นพระพุทธรูปสำริด ปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสามาธิราบ หน้าตักกว้าง 6.25 เมตร สูงประมาณ 8 เมตร ถือเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยสำริดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสมัยสุโขทัยเท่าที่เหลือหลักฐานสมบูรณ์ที่สุด แต่เดิมเป็นพระประธานในวิหารหลวง วัดมหาธาตุ สุโขทัย รัชกาลที่ 1 ได้อัญเชิญลงมากรุงเทพฯ เมื่อคราวสร้างวัดสุทัศน์และประดิษฐานในวิหาร แต่คราวนั้นก่อสร้างได้เพียงฐานราก รัชกาลที่ 1 ก็ทรงสวรรคตเสียก่อน เนื่องจากพระพุทธรูปนี้มีขนาดใหญ่โตจึงเรียกกันว่า "พระโต" จนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ได้พระราชทานนามว่า "พระศรีศากยมุนี" ในสมัยรัชกาลที่ 2 มีบันทึกกล่าว่า พระองค์ทรงเห็นว่าพระเศียรของพระศรีศากยมุนีมีขนาดเล็กไป พระวรกายไม่สมกัน จึงให้ช่างถอดออกหล่อพระเศียรพระพักตร์ให้ใหญ่ขึ้น และนิ้วพระหัตถ์ของเดิมนั้นมีความสั้นยาวไม่เท่ากันก็โปรดให้ต่อนิ้วพระหัตถ์ให้ยาวเท่ากัน การที่รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าให้พอกพระพักตร์ให้ใหญ่ขึ้นอาจจะเนื่องแต่เดิมในสมัยสุโขทัยพระศรีศากยมุนีตั้งอยู่บนฐานเตี้ยๆ จึงมีสัดส่วนที่ลงตัวเมื่อคนดูมองขึ้นไป แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์นิยมประดิษฐานพระพุทธรูปบนแท่นสูงเมื่อคนดูเงยหน้ามองพระพุทธรูปทำให้พระพักตร์ดูเล็กไป ไม่ได้สัดส่วนกับพระวรกาย ส่วนการต่อนิ้วพระหัตถ์ให้ยาวเท่ากันเป็นความนิยมในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อพิจารณาจากลักษณะศิลปกรรม จัดได้ว่าพระศรีศากยมุนีเป็นพระพุทธรูปในหมวดใหญ่ของสุโขทัย คือ การทำพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิราบ ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลว ชายสังฆาฏิเป็นแผ่นเล็กยาวลงมาจรดพระนาภี แต่มีพระพักตร์ค่อนข้างกลมและพระวรกายที่อวบอ้วนกว่าซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากการบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 2 ด้านหลังบัลลังก์พระศรีศากยมุนีมีแผ่นศิลาจำหลักศิลปะทวารวดี รูปปางยมกปาฏิหาริย์ และ ปางประทานเทศนาในสวรรค์ เดิมมีการปิดทองแต่ปัจจุบันได้มีการลอกทองออกหมดให้เห็นชั้นเนื้อหิน เป็นงานประติมากรรมแกะสลักนูนต่ำศิลปะทวารวดีที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดในไทย

เปรตวัดสุทัศน์
ที่วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร มีเรื่องเล่าขานกันถึงเปรต สัตว์ที่เกิดในอบายภูมิตามความเชื่อของพุทธศาสนาและชาวไทย ว่ามีเปรตเคยปรากฏอยู่ที่นี่ โดยเรื่องนี้อาจมีที่มาจากภายในพระวิหารมีภาพวาดบนเสาด้านข้างขวาขององค์พระศรีศากยมุนี เป็นภาพจิตรกรรมที่วาดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีรูปหนึ่งเป็นรูปเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่และมีพระสงฆ์กำลังยืนพิจารณาสังขาร ซึ่งภาพนี้มีชื่อเสียงมากในสมัยอดีต เป็นที่ร่ำลือกันว่าหากใครได้มีโอกาสไปกราบไหว้พระศรีศากยมุนีในพระวิหารหลวง ต้องไปดูรูปจิตรกรรม "เปรตวัดสุทัศน์" ที่ขึ้นชื่อนี้ จนมีคำกล่าวคล้องจองกันว่า "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" นอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องเล่ากันจากปากต่อปากว่า ในอดีตที่บริเวณหน้าพระวิหารหลวงนี้ มีผู้พบเห็นเปรตในเวลาค่ำคืนบ่อย ๆ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) ขณะที่ยังทรงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ ในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ยังเคยเปรยกับเปรต ความว่า "อยู่ด้วยกันนะ อย่าให้ชาวบ้านได้เดือดร้อน" จากนั้นเปรตก็ไม่มาปรากฏอีก นอกจากนี้มีความเป็นไปได้ว่า เปรตวัดสุทัศน์ อาจเป็นความเข้าใจผิดของผู้ที่มองเห็นเสาชิงช้าที่อยู่บริเวณหน้าวัดในเวลาเช้ามืดที่หมอกลง หรือทัศนวิสัยไม่ดี แล้วสำคัญผิดว่าเป็นเปรต หรืออาจจะมีที่มาจากพระราชนิพนธ์องค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเคยนิพนธ์เรื่อง "เปรตสะพานหัน" ที่ทรงเปรียบขอทานที่สะพานหันว่าเหมือนเปรต และมีการนำไปเปรียบเทียบกับขอทานที่อาศัยอยู่หน้าเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ที่อยู่ใกล้เคียง

พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 8
ภายเขตพระวิหารหลวงประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร อยู่บริเวณมุมระเบียงคตด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ วัสดุสำริด ตั้งบนฐานหินอ่อน และได้อัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารของพระองค์ มาบรรจุที่ผ้าทิพย์ด้านหน้าพุทธบัลลังก์พระศรีศากยมุนีเมื่อ พ.ศ. 2493 และมีพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรในวันที่ 9 มิถุนายนของทุกปี

เขตพระอุโบสถ
อยู่ในเขตพุทธาวาสประกอบด้วยพระอุโบสถเป็นอาคารประธานล้อมด้วยกำแพงแก้วเป็นแนวเขต

พระอุโบสถ
พระอุโบสถของวัดสุทัศน์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 มีเครื่องหลังคาที่เป็นแบบประเพณีนิยมที่ยังมีเครื่องลำยองได้แก่ ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง หน้าบันเป็นงานไม้แกะสลักประดับกระจกลวดลายแบบไทย มีเสาเฉลียงหรือพาไล เสาเป็นแท่งสีเหลี่ยมทึบไม่ย่อมุม ไม่ประดับบัวหัวเสา ไม่มีคันทวย ซึ่งนิยมใช้ในรัชกาลที่ 3 เสาลักษณะนี้ทำให้สามารถสร้างอาคารที่มีขนาดใหญ่ทั้งกว้างและสูง และมีความมั่นคงแข็งแรง รอบพระอุโบสถมีกำแพงแก้วล้อมรอบ บนกำแพงแก้วด้านทิศเหนือและทิศใต้ มีเกยอยู่ด้านละ 4 เกย ซึ่งใช้เป็นที่สำหรับประทับโปรยทานแก่ประชาชนในงานพระราชพิธี เรียกว่า "เกยโปรยทาน" หน้าบันพระอุโบสถเป็นไม้แกะสลักประดับกระจก หน้าบันด้านหน้าทางทิศตะวันออกเป็นแกะสลักเป็นรูปพระอาทิตย์ทรงราชรถเทียมราชสีห์พื้นหลังประดับกระจกสีแดง หน้าบันด้านหลังทางทิศตะวันตกเป็นรูปพระจันทร์ทรงราชรถเทียมม้าพื้นหลังประดับกระจกสีเงิน ซุ้มประตูและหน้าต่างทำเป็นรูปทรงที่ผสมระหว่างซุ้มทรงปราสาทยอดและซุ้มทรงบรรพแถลงเรียกว่า ซุ้มทรงมงกุฏ ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่เกิดขึ้นในรัชกาลที่ 3

พระพุทธตรีโลกเชษฐ์
ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานนามว่า พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ รัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นเป็นพระพุทธรูปสำริด ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 10 ศอก 8 นิ้ว โดยโปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นพร้อมกับพระเสฏฐตมมุนี พระประธานในพระอุโบสถวัดราชนัดดารามวรวิหาร พระพุทธมหาโลกาภินันทปฏิมา พระประธานในพระอุโบสถวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร และพระพุทธชัมพูนุช มหาบุรุษลักขณาอสีตยานุบพิตร พระประธานในพระวิหารวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เบื้องหน้าพระพุทธตรีโลกเชษฐ์ประดิษฐานพระอสีติมหาสามวก 80 รูปนั้งประนมมือฟังพระโอวาทสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 สร้างเป็นปูนปั้นลงสีแทนที่ตำแหน่งพระศรีศาสดาเดิมที่อัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศวิหาร พุทธลักษณะของพระพุทธตรีโลกเชษฐ์เป็นรูปแบบเฉพาะของพระพุทธรูปที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 อย่างแท้จริง ประกอบด้วย มีพระวรกายเพรียวบาง สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่จรดพระนาภี พระพักตร์ค่อนข้างกลมกึ่งไข่ ขมวดพระเกษาเล็ก มีพระรัสมีเป็นเปลว พระขนงโก่ง พระเนตรเปิดและมองตรง พระนาสิกค่อนข้างเล็กและโด่ง พระโอษฐ์เล็กแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย เส้นพระโอษฐ์โค้งเล็กน้อยเกือบเป็นเส้นตรง เรียกว่า "พระพักตร์อย่างหุ่น" คือมีลักษณะคล้ายหุ่นละคร อันเป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปในสมัยรัชกาลที่ 3

ซุ้มสีมา
ตั้งอยู่บนกำแพงแก้วพระอุโบสถ เป็นทรงเรือนมีส่วนฐานรองรับ ส่วนกลางเป็นห้อง และส่วนยอดที่เป็นยอดแหลม ส่วนฐานยกสูงมีการแกะสลักลวดลาย ตัวเรือนเจาะเป็นช่อง 4 ด้าน ภายในประดิษฐานสีมาคู่ ส่วนยอดทำเป็นทรงมงกุฏหรือพระเกี้ยวหล่อด้วยสำริดมีฐานเป็นวงแหวนซ้อนกันเป็นชั้นๆ คล้ายมาลัยเถา แต่ในหมายรับสั่งรัชกาลที่ 3 เรียกส่วนยอดนี้ว่า เจดีย์ ดังมีข้อความระบุว่า "โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระเจดีย์หลังซุ้มสีมาวัดสุทัศนเทพวราราม" ใน พ.ศ. 2387 ส่วนฐานของยอดมีกระทงล้อมรอบทิศทั้ง 4 ด้าน เป็นหินอ่อนแกะสลักลวดลายอย่างเทศ ใบสีมาทำจากหินอ่อนสีเทาสลักเป็นภาพช้าง 3 เศียร งวงชูดอกบัวตูมเศียรละ 1 ดอก เบื้องบนมีดอกบัวบาน 3 ดอก โดยการสร้างซุ้มในสมัยรัชกาลที่ 3 นั้น ถ้าพระอุโบสถเป็นตามแบบพระเพณีนิยมจะมียอดซุ้มเป็นอย่างไทย แต่หากเป็นพระอุโบสถวัดที่สร้างแบบพระราชนิยมที่เป็นอิทธิพลศิลปะจีน ซุ้มสีมาจะสร้างเป็นอย่างเทศคือเป็นแบบจีนผสมตะวันตก

ซุ้มประตูกำแพงแก้ว
ซุ้มประตูกำแพงแก้วขึ้นสู่ลานพระอุโบสถมีอยู่ด้านละ 2 ซุ้ม รวมทั้งหมด 8 ซุ้ม เป็นซุ้มประตูยอดที่มีลักษณะผสมระหว่างศิลปะไทยกับศิลปะตะวันตก ตัวซุ้มสร้างด้วยหินอ่อนเซาะร่อง ประดับบัวหัวเสาด้วยลายใบไม้แบบตะวันตกเรียกว่า ลายใบอะแคนทัส ส่วนยอดมีลักษณะเป็นเค้าโครงของมงกุฏหรือพระเกี้ยว เหนือกรอบประตูมีทับหลังเป็นหินอ่อนแกะสลักปิดทองเป็นรูปแบบลายอย่างเทศประกอบด้วยดอกและใบโบตั๋น มีประติมากรรมทวารบาลเป็นรูปทหารแต่งกายแบบตะวันตกอยู่ด้านข้างซุ้มประตูทุกประตู บานประตูทาสีเขียวเขียนจิตรกรรมรูปครุฑยุดนาคทุกด้าน

ลำดับเจ้าอาวาส
1    สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อู่)    2386 — 2401
2    พระพิมลธรรม (อ้น)    2401 — 2420
3    สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน)    2420 — 2443*
4    สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว)    2443* — 2487
5    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โสม ฉนฺโน)    2489 — 2505
6    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม จนฺทสิริ)    2506 — 2527
7    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี)    2527 — 2559
8    พระพรหมวชิรมุนี (เชิด จิตฺตคุตฺโต)    2559 — ปัจจุบัน
ข้อมูลวิกิพีเดีย

วิธีการชำระเงิน

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาปตท.ถนนกาญจนาภิเษก 2 ออมทรัพย์

JEWELRY-ANTIQUE-AMULET

ระบบสมาชิก

สถิติร้านค้า

หน้าที่เข้าชม4,446,214 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด3,382,512 ครั้ง
เปิดร้าน4 ก.พ. 2558
ร้านค้าอัพเดท6 ก.ย. 2568

ติดต่อเรา

ติดตามสินค้า

พูดคุย-สอบถาม