สมเด็จปิลันทน์ วัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ปางสนเข็ม เนื้อใบลาน

สมเด็จปิลันทน์ วัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ปางสนเข็ม เนื้อใบลาน
สมเด็จปิลันทน์ วัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ปางสนเข็ม เนื้อใบลานสมเด็จปิลันทน์ วัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ปางสนเข็ม เนื้อใบลาน
รหัสสินค้า PORAKPLSK01
หมวดหมู่ พระเครื่อง จังหวัด กรุงเทพมหานคร
ราคา 350,000.00 บาท
สถานะสินค้า พร้อมส่ง
ลงสินค้า 28 ก.ย. 2568
อัพเดทล่าสุด 28 ก.ย. 2568
จำนวน
องค์
หยิบลงตะกร้า
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด เสนีวงศ์) 
 
พระพุทธุปบาทปิลันทน์ 
  
 
หม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด) มีพระนามเดิมว่าหม่อมเจ้าทัด ประสูติเมื่อวันพุธ แรม ๙ 
ค่ ่า เดือน ๑๑ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๖๕ เป็นพระโอรสในพระสัมพันธวงศ์เธอ 
พระองค์เจ้าแตง กรมหลวงเสนีบริรักษ์ (ต้นสกุล เสนีวงศ์) กับ หม่อมบุญมา พระองค์เจ้าชายแตง 
ท่านเป็นเจ้านายจากวังหลัง โดยเป็นโอรสของเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ กรมพระราชวังบวร
 สถานพิมุข (อุปราชวังหลังในรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเป็นโอรสของเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี พระน้องนาง
 ของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ) 
 
และมีบางแหล่งข้อมูลระบุว่าหม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด เสนีวงศ์) เป็นพระอนุชาของ
 พระหม่อมเจ้าพยอม เสนีวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบางหว้าน้อย (วัดอมรินทราราม) ซึ่งได้รับพระราชทาน
 ราชทินนามพิเศษจาก ร.๔ ว่า พระสังวรประสาธน์ และบางแหล่งข้อมูลระบุว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ 
(ทัด เสนีวงศ์)  ท่านยังมีน้องชายร่วมพระบิดาองค์หนึ่งชื่อ ม.จ. อ้น เสนีวงศ์ เป็นเด็กวัดระฆังมา
 ด้วยกัน แล้วผนวชเป็นสามเณร  เป็นพระภิกษุด้วยกันที่วัดระฆังนั้น ซึ่งข้อมูลทั้งสองแหล่งนี้ไม่ขอ
 ยืนยันความถูกต้อง

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติของท่านในช่วงต้นๆ ก่อนที่จะทรงผนวชเป็นพระ ซึ่งบันทึกไว้โดยพระเทพ
 ญาณเวที (ละมูล สุตาคโม) เมื่อครั้งยังเป็น พระราชธรรมภาณี ไว้ โดยน่ามาลงไว้เพื่อเป็นข้อมูลดังนี้ 
 
"เมื่อผู้เขียน เป็นเด็กยังไม่ได้บวชเณร เคยได้ฟังมาจากโอษฐของหม่อมเจ้าหญิงสืบ พระธิดาในสมเด็จ
 เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ (พระองค์เจ้าเกต) รับสั่งเล่าถึงเรื่องสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) 
แล้วเลยรับสั่งถึงหม่อมเจ้าพระสมเด็จพุฒาจารย์ (ทัด เสนีวงศ์) ต่อไปให้พวกผู้ใหญ่ฟัง ซึ่งผู้เขียนก็ฟัง
 อยู่ในที่นั้นด้วย เพราะมีหน้าที่คอยต่าหมากถวาย รับสั่งเล่าว่า 
 
“เจ้าพระทัดนี้เป็นเจ้าวังหลัง รูปร่างขี้ริ้ว มีพี่ชายชื่อเจ้าพยอม บวชอยู่วัดบางหว้า เป็นท่านเจ้าฯ พี่
 พระสังวรประสาท” 
 
จะล่าดับถ้อยค่าของเสด็จฯ จ่าไม่ได้ จะเขียนเอาแต่ความที่ท่านรับสั่ง พอได้เค้าต่อเนื่องกันเท่าที่จ่าได้ 
ความว่า

หม่อมเจ้าพระสมเด็จฯ องค์นี้ เมื่อเป็นฆราวาสได้ไปสู่ขอกุลสตรีผู้หนึ่ง บิดามารดาทางฝ่ายหญิงเขาติ
 ว่าขี้ริ้วและเป็นเจ้าจนๆ อายุมากแล้ว เสียพระทัยจึงออกผนวชเป็นนาคหลวงที่วัดพระศรีรัตนศาสดา
 ราม ใครจะเป็นพระอุปัชฌาย์สืบไม่ได้ ทราบแต่ว่าเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) 
เมื่อครั้งยังเรียกกันว่า พระมหาโต เปรียญหก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ผนวชแล้วมาประทับอยู่    
วัดระฆังฯ ทรงเล่าเรียนภาษาบาลีกับพระอาจารย์มหาโตแต่ผู้เดียว จนถึงสอบไล่ได้เป็นเปรียญ ๗ 
ประโยค เมื่อเจริญด้วยพระชนมายุพรรษา จึงได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะสามัญที่
 พระพุทธบาทปิลันท์" 
 
โดยที่พระราชวังของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข อยู่ติดกับวัดระฆังโฆษิตารามและทรงเป็นผู้
 อุปการะวัด ดังนั้นเจ้านายสายวังหลังจึงรู้จักมักคุ้นและสนิทสนมกับพระภิกษุสงฆ์ของวัดระฆังโฆษิตา
 รามเป็นอย่างดี ซึ่งก็รวมทั้งหม่อมเจ้าทัดด้วย เมื่อมีพระชนมายุถึงเวลาอันสมควรจะบรรพชาเป็น
 สามเณร ซึ่งโดยปกติคนทั่วไปก็มักจะจัดกันที่วัดใกล้บ้านของตน แต่โดยที่หม่อมเจ้าทัดเป็นราชวงศ์ 
จึงต้องท่าพิธีที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แทนที่จะเป็นวัดระฆังฯ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่ง
 เกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากที่ได้บรรพชาแล้ว ท่านก็ไปเล่าเรียนกับพระมหาโต ที่วัดระฆังฯ จนอายุครบ 

อุปสมบทในปี พ.ศ. ๒๓๘๕ จึงผนวชเป็นภิกษุที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามโบราณราชประเพณี มี
 สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อม) เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) 
แต่ครั้งยังเป็น พระมหาโต เปรียญ ๖ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลังจากผนวชแล้วได้มาประทับอยู่ที่
 วัดระฆังโฆสิตารามตามเดิม ทรงศึกษาด้านพระธรรมวินัย สมถกรรมฐาน และวิปัสสนาธุระกับพระ
 อาจารย์มหาโตแต่ผู้เดียว 
 
พ.ศ. ๒๓๙๒ ได้สอบพระปริยัติธรรมซึ่งจัดที่สนามสอบวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ได้เป็นเปรียญ
 ธรรม ๓ ประโยค อีก ๑๒ ปีต่อมา ถึงปี พ.ศ. ๒๔๐๔ ได้สอบอีกที่สนามสอบวัดพระศรีรัตนศาสดา
 ราม ได้เพิ่มอีก ๔ ประโยค รวมเป็นเปรียญธรรม ๗ ประโยค 
   
อันนามสัญญาบัตรที่ “พระพุทธุปบาทปิลันทน์” นี้ เป็นราชทินนามหนึ่งในราชทินนามที่
 พระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา พระราชทานเฉพาะแด่พระราชวงศ์ ตั้งแต่หม่อม
 ราชวงศ์ขึ้นไป

ราชทินนามของเจ้านายผู้เป็นพระราชวงศ์ปรากฏมีครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอม
 เกล้าเจ้าอยู่หัว ในปีพุทธศักราช ๒๓๙๔ ในคราวนั้นทรงตั้งพระราชาคณะที่เป็นพระราชวงศ์ ๒ 
พระองค์ และพระราชทานราชทินนามถวายด้วย คือ หม่อมเจ้าพระรอง ป.๙ วัดราชบุรณะ เป็น
 หม่อมเจ้าพระญาณวราภรณ์ และหม่อมเจ้าศร วัดชนะสงคราม เป็นหม่อมเจ้าพระศีลวราลังการ 
ภายหลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชทานราชทินนามอันเป็นของ
 เฉพาะพระราชวงศ์ไว้อย่างไพเราะคล้องจองกันทั้งหมด และตั้งใหม่ต่อมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ซึ่ง
 สมณศักดิ์ที่พระราชทานแก่ราชวงศ์ (บางส่วน) มีดังนี้คือ 
   
  ๑.     พระศีลวราลังการ   ๒.     พระญาณวราภรณ์   
  ๓.     พระสังวรประสาธน์  ๔.     พระพุทธุปบาทปิลันธน์  
   ๕.     พระธรรมุณหิศธาดา  ๖.     พระอรุณนิภาคุณากร   
  ๗.    พระประภากรบวรสุทธิวงศ์ ๘.    พระราชพงษ์ประฎิพัทธ   
  ๙.     พระราชพันธุประพัทธ์  ๑๐.   พระสถาพรพิริยพรต   
  ๑๑.   พระศรีสุคตคัตยานุวัตร  ๑๒.   พระราชานุพัทธมุนี   
                  ฯลฯ 
 
ที่มา : พระมหาปกรณ์ จัดไธสง, "การศึกษาราชทินนามของพระราชาคณะในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์"     
        (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2551) น.128

หม่อมเจ้าทัด ได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่ หม่อมเจ้าพุทธุปบาทปิลันทน์ พ.ศ. ๒๔๐๗ 
ข้อมูลชีวประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหฺมร่สี) จากบันทึกของ มหาอ่ามาตย์ตรีพระยาทิพย
 โกษา (สอน โลหะนันทน์) ได้บันทึกไว้ว่า 
 
"ในปลายปีมะเมีย โทศก (พ.ศ. ๒๔๑๔) นี้มา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้มีลายลิขิตแจ้งแก่กรมสังฆ
 การีว่า จะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตยกเป็นสมเด็จพระราชาคณะกิตติมศักดิ์ ด้วยเหตุชรา
 ทุพพลภาพ ไม่สามารถรับราชการเทศน์แลสวดฉันในพระบรมราชวังได้ ได้ทรงพระมหากรุณาโปรด
 พระราชทานพระบรมราชานุญาตตกเป็นพระมหาเถรกิตติมศักดิ์ และได้ทรงพระมหากรุณาโปรด
 เกล้าฯ สถาปนาหม่อมเจ้าพระ (ทัด) ในกรมสมเด็จพระราชวังหลัง ขึ้นเป็นพระราชาคณะรองเจ้า 
อาวาส พระราชทานพระสุพรรณบัฏมีราชทินนามว่า หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ มีฐานา ๓ รูป 
 
มีนิตยภัตรเดือนละ ๑๖ บาท ค่าข้าวสาร / บาท เป็นผู้ช่วยบัญชาการกิจการวัดระฆังต่อไป" 
 
ข้อความในช่วงท้ายๆ ที่ว่า ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น หม่อมเจ้าพระพุทธบาท       
ปิลันทน์ นั้น คงเป็นข้อความที่คลาดเคลื่อน เพราะท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์ ดังกล่าวมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 
๒๔๐๗ แล้ว 
 
ท่านได้ท่าหน้าที่ปกครองวัดระฆังแทนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้เพียงปีเศษ สมเด็จพระพุฒา
 จารย์ (โต) ก็มรณภาพลงในปี พ.ศ. ๒๔๑๕ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๕ ท่านจึงได้เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ 
สืบต่อมา จนกระทั่ง อีก ๒๓ ปีต่อมา ถึงปี พ.ศ. ๒๔๓๐ ก็ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็น
 พระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ หม่อมเจ้าพระพุทธุบาทปิลันธน์พระธรรมเจดีย์ กระวีวงษนายก ตรีปิฎก
 บัณฑิตย มหาคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี ด่ารงต่าแหน่งเสมอ พระธรรมเจดีย์ 

พ.ศ. ๒๔๓๕ ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองฝ่ายเหนือที่ หม่อมเจ้าพระพิมลธรรม์ 
มหันตคุณ วิบุลปรีชาญาณนายก ตรีปิฎกคุณาลังการภูษิต อุตรทิศคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี 
ย้ายไปครองวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร 
 
พ.ศ. ๒๔๓๗ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ เจ้าคณะฝ่ายอรัญวาสีและเป็นเจ้าคณะใหญ่ใน
 คณะกลางที่ หม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์อเนกสถานปรีชา สัปตวิสุทธิจริยาสมบัติ นิพัทธธุต
 คุณ สิริสุนทรพรตจาริก อรัญญิกมหาปรินายก ตรีปิฎกโกศล วิมลมัชฌิมคณฤศร บวรสังฆาราม 
คามวาสี อรัญญวาสี สถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร 
 
หม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์สิ้นชีพิตักษัยด้วยพระโรคชรา เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๓ ค่ ่า เดือน 
๗ ปีชวด ตรงกับวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๓ เวลาบ่าย ๒ โมงเศษ สิริชันษา ๗๗ ปี ๒๔๔ วัน เช้า
 วันที่ ๑๒ มิถุนายน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาพระราชทานน้่าสรงศพ 
พระราชทานโกศไม้สิบสอง ประกอบศพ ตั้งบนชั้นแว่นฟ้าสองชั้น 
 
ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพหม่อมเจ้า
 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด) วัดพระเชตุพนฯ และ สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวัฑฒโน) วัดสุทัศน์เทพ 
วราราม พร้อมกัน ที่เมรุพิมาน ต่อจากงานพระศพสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
 (สา ปุสสเทโว) โดยในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔ ตั้งกระบวนแห่เชิญศพหม่อมเจ้าสมเด็จพระ
 พุฒาจารย์ (ทัด) จากวัดพระเชตุพน โดยพระยานมาศสามคาน ประกอบโกศมณฑป ไปยังวัดสุทัศน์
 เทพวราราม เพื่อเชิญศพสมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) ขึ้นพระยานมาศสามคาน ประกอบโกศ
 มณฑปเช่นเดียวกัน เข้ากระบวนแห่ต่อจาก หม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด) เคลื่อนกระบวนไป
 ยังพระเมรุ ณ ท้องสนามหลวงแล้วพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทอดผ้าบังสุกุล 
เวลาบ่าย ๕ โมงเศษวันต่อมาจึงพระราชทานเพลิงศพ และเช้าวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ เจ้าพนักงานเชิญ
 อัฐิขึ้นเสลี่ยงกลับไปยังพระอารามตามเดิม

พระประธานยิ้มรับฟ้า เป็นพระพุทธรูปเนื้อทองส่าริด ปางสมาธิ หน้าตักกว้างประมาณ ๔ ศอกเศษ 
เบื้องพระพักตร์มีรูปพระสาวก ๓ องค์ นั่งประนมมือดุจรับพระพุทธโอวาท พระประธานองค์นี้ได้รับ
 การยกย่องว่างดงามมาก จนปรากฏว่าครั้งหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ
 มาถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ได้มีพระราชด่ารัสแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ ใกล้ชิดว่า ไปวัดไหนไม่
 เหมือนมา วัดระฆังพอเข้าประตูโบสถ์พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที ด้วยเหตุนี้จึงทรงถวาย
 เครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์ และมหาปรมาภรณ์ ช้างเผือกแด่พระประธานองค์นี้เป็น
 พิเศษ และพระประธานองค์นี้ก็ได้นามว่า พระประธานยิ้มรับฟ้า ตั้งแต่นั้นมา 

การสร้างวัตถุมงคล 
 
ความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับ "พระสมเด็จปิลันทน์" 
ในวงการพระเครื่อง มีความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับพระเครื่องของพระพุทธุปบาทปิลันทน์ หรือที่วงการ
 พระเครื่องเรียกว่า "พระปิลันทน์" หรือ "พระสมเด็จปิลันทน์" นั้น เชื่อกันว่าสร้างในปี พ.ศ. ๒๔๐๗ 
ซึ่งเป็นปีที่ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น "พระพุทธุปบาทปิลันทน์" จากพระบาทสมเด็จพระ
 จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และโดยที่ ในช่วงปีดังกล่าว สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) 
ยังทรงขันธ์อยู่ จึงสันนิษฐานว่า พระพุทธุปบาทปิลันทน์ มิได้ทรงสร้างพระสมเด็จปิลันทน์โดยล่าพัง
 พระองค์เดียว หากอาราธนาให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ ผู้เป็นพระอาจารย์ตั้งแต่ท่านยังเป็นสามเณรน้อย
 อยู่ร่วมสร้างด้วย แต่ในเรื่องช่วงเวลาที่สร้างพระปิลันทน์นั้น มีบางความเชื่อได้ระบุว่า ภายหลังจากที่
 เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้สร้างพระสมเด็จมาแล้ว ๒ ปี หม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์           
(ทัด เสนีวงศ์) ทรงสร้างพระเครื่องของท่านขึ้นมาบ้าง เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๑ 
 
บางครั้งมีการเรียกขานว่า พระสมเด็จปิลันทน์ ว่า "พระสองสมเด็จ" เนื่องด้วย ได้รับการสร้างโดย 
"สมเด็จพระราชาคณะ" สองพระองค์ และสมเด็จทั้งสององค์นั้นด่ารงสมณศักดิ์เดียวกันอีกด้วย โดย 
พระพุทธุปบาทปิลันทน์นั้น ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ 
เช่นเดียวกับ เจ้าประคุณสมเด็จ (โต) ผู้เป็นพระอาจารย์ 
 
ทางด้านมวลสารและเนื้อหา "พระสมเด็จปิลันทน์" นั้นเป็นพระเนื้อผงผสมผงใบลานเผา และเชื่อกัน
 ว่า พระพุทธุปบาทปิลันทน์ได้ขอผงวิเศษห้าประการของเจ้าประคุณสมเด็จฯ มาเป็นอิทธิวัตถุผสม
 เป็นหลักของมวลสารด้วย ส่วนทางด้านศิลปะการแกะพิมพ์เชื่อกันว่าเป็นของช่างหลวง

ความเชื่อดังกล่าวนี้ได้รับการโต้แย้งในบางข้อมูล ข้อโต้แย้งที่ส่าคัญๆ ได้แก่ความเชื่อเกี่ยวกับปีที่สร้าง 
และความเชื่อที่ว่าพระสมเด็จปิลันทน์ นั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้ร่วมสร้างด้วย ซึ่งความเชื่อ
 ทั้งสองนี้เกี่ยวเนื่องกัน ตามความเชื่อเดิมที่เชื่อว่า "พระสมเด็จปิลันทน์" สร้างขึ้นในปีพ.ศ. ๒๔๐๗ 
และบางข้อมูลระบุว่าสร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๑๑ ซึ่งทั้งสองช่วงนั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ยังด่ารง
 ขันธ์อยู่ จึงเชื่อว่าเจ้าประคุณสมเด็จโตจะต้องมีส่วนร่วมในการสร้างพระเครื่องกับศิษย์ต้นก้นกุฏิอย่าง
 แน่นอน 
 
ความเชื่อดังกล่าวได้รับการโต้แย้งดังนี้ 
คนโบราณนั้นถือกันมากเรื่อง ศิษย์วัดรอยเท้าครู แม้แต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ไม่ท่ากัน ในเมื่ออาจารย์ยังมี
 องค์ปรากฏอยู่ และอาจารย์นั้นท่านก็สร้างพระเครื่องของท่านเองอยู่ด้วย จึงไม่มีความจ่าเป็นใดๆ ที่
 ศิษย์จะต้องสร้างพระเครื่องขึ้นมาแข่ง เพราะจะหมายความว่าพระเครื่องที่อาจารย์สร้างนั้นดีสู้ของ
 ศิษย์ไม่ได้ ศิษย์จึงต้องสร้างขึ้นมาใหม่ ดังนั้น ความเชื่อที่ว่า พระสมเด็จปิลันทน์สร้างในสมัยที่เจ้า
 ประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ยังด่ารงขันธ์อยู่จึงเป็นไปไม่ได้ 
 
ดังนั้น พระสมเด็จปิลันทน์จึงน่าจะสร้างขึ้นหลังปีพ.ศ. ๒๔๑๕ ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จโตมรณภาพ บาง
 ต่านานสันนิษฐานว่า พระสมเด็จปิลันทน์ วัดระฆัง มีการสร้างขึ้นไว้เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๑๘ แต่จะ
 เป็นปีใดที่แน่นอนก็ยังหาหลักฐานไม่พบ แต่ท่านก็มีช่วงเวลาสร้างพระเครื่องที่ค่อนข้างยาวนาน คือ
 ตั้งแต่ท่านได้เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆัง จนถึงปีที่ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรม ไปครองวัด
 โพธิ์ ท่าเตียนในปี ๒๔๓๕ เป็นเวลาร่วม ๒๐ ปี ก็น่าจะได้มี "พระสมเด็จปิลันทน์" อยู่ในวงการพระ
 เครื่องเป็นหมื่นองค์

และการที่บางต่านานเรียกพระสมเด็จปิลันทน์ว่า "พระสองสมเด็จ" นั้น ก็เป็นเรื่องที่ไปตีความหมาย
 ตามความเชื่อแรกที่ว่า พระสมเด็จปิลันทน์สร้างขึ้นโดย "สมเด็จ" สององค์ที่เป็นศิษย์อาจารย์กัน
 ร่วมกันสร้าง ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะพระสมเด็จปิลันทน์ได้สร้างขึ้นโดย "สมเด็จ" เพียงองค์เดียว 
และในปีที่สร้างพระขึ้นมานั้นท่านก็ยังมิได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นชั้น "สมเด็จ" เลย ท่านเป็น
 สมเด็จ ในปีพ.ศ. ๒๔๓๗ และยังคงประทับอยู่ที่วัดโพธิ์ นั่นก็คือหลังจากที่ท่านย้ายที่ประทับจากวัด
 ระฆังฯ ไปยังวัดโพธิ์ ท่านก็มิได้สร้างพระอีกเลย 
 
 
 
 
ส่วนในเรื่องมวลสารของพระสมเด็จปิลันทน์นั้น ส่าหรับมวลสาร ท่านท่าให้แตกต่างกับของพระเครื่อง
 ของสมเด็จโต โดยเพิ่มผงใบลานเผาเข้าไปในมวลสารรอง ส่วนผงวิเศษ ๕ ประการและการปลุกเสก
 ด้วยคาถาชินบัญชรนั้นเป็นสูตรการท่าพระพิมพ์สมเด็จของวัดระฆังอยู่แล้ว 
 
 
ความที่ถูกสร้างพระหลายครั้งในระยะเวลาร่วม ๒๐ ปี ส่วนผสมจึงไม่คงที่ ท่าให้พระปิลันทน์ที่ผสมผง
 ใบลานเผาจึงมีหลายสี ตั้งแต่ด่า เทาเขียว น้่าตาล และมีทั้งบรรจุกรุและไม่บรรจุกรุ ตามแบบอาจารย์
 ท่านอยู่แล้ว ส่วนสีขาวซึ่งเป็นพระเนื้อผงสูตรสมเด็จโตที่ไม่ผสมผงใบลานนั้น พระพุทธบาทปิลันทน์
 ท่านได้สร้างไว้จ่านวนน้อยและเป็นของหายาก องค์งาม ๆ จะมีเนื้อคล้ายพระสมเด็จวัดระฆังทีเดียว 
 
ในเรื่องแบบพิมพ์ พระพุทธุปบาทปิลันทน์ได้คิดรูปแบบการสร้างพระปิลันทน์ขึ้นใหม่เป็น ๓ แบบดังนี้ 
แบบแรก ยังคงใช้พิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟัก เพียงแต่ย่อส่วนให้มีขนาดเล็กลง แต่ยังคงสัดส่วน ๓ ต่อ ๒ 
พิมพ์มีทั้งที่มีครอบแก้ว เช่น พิมพ์ปรกโพธิ์ และพิมพ์ปฐมเทศนา ส่วนฝีมือช่างน่าจะเป็นช่างชาวบ้าน
 แถวบ้านช่างหม้อที่อยู่ใกล้วัด 
แบบที่สอง พิมพ์ทรงยังเป็นสี่เหลี่ยมชิ้นฟัก แต่ใช้กรอบกระจกแทน อาจเป็นต้นแบบให้กับวัดท้าย
 ตลาดที่สร้างขึ้นภายหลังก็เป็นได้ เป็นรูปแบบที่พัฒนาเพิ่มเติมจากแบบแรก พิมพ์ที่มีได้แก่ พิมพ์ปรก
 โพธิ์ พิมพ์โมคคัลลาน์สารีบุตร ที่มีความสวยงามกว่าแบบแรก แต่น่าจะเป็นช่างราษฎรเหมือนกัน
 เพียงแต่ใส่ลวดลายลงไปในพิมพ์และน่าจะเป็นช่างคนละชุดกับแบบแรก

 
แบบที่สาม ใช้รูปแบบพิมพ์โบราณที่เลียนลักษณะนิ้วมือทั้งห้าพิมพ์ครอบแก้วใหญ่เหมือนนิ้วโป้ง 
พิมพ์ซุ้มประตูเหมือนนิ้วกลาง พิมพ์เปลวเพลิงใหญ่เหมือนนิ้วชี้หรือนิ้วนาง ส่วนพิมพ์ครอบแก้วเล็ก 
เปลวเพลิงรัศมีเล็กเปรียบเสมือนนิ้วก้อย พระชุดนี้มีความสวยงามที่ขนาดกะทัดรัด และลวดลาย
 ศิลปะในพิมพ์องค์พระไม่ใช่ปางสมาธิ แต่เป็นพิมพ์อื่นที่เรียกว่าปางห้ามแก่นจันทร์บ้าง ลีลาบ้าง ส่วน
 ช่างน่าจะเป็นช่างราษฎรไม่ใช่ช่างหลวง เพราะองค์พระและเส้นสายยังตื้น และศิลปะยังไม่ใช่ของช่าง
 หลวง แต่เป็นช่างที่มีฝีมือกว่าสองแบบแรก 
 
การแตกกรุพระเจดีย์วัดระฆังและก าเนิดชื่อ "พระปิลันทน์" 
หลังจากที่ท่านได้สร้างพระสมเด็จปิลันทน์แล้ว พระเครื่องที่ท่านสร้างท่านก็ได้จ่ายแจกไปยังผู้ที่
 ศรัทธานับถือ บางส่วนท่านก็น่ามาบรรจุไว้ในพระเจดีย์ทั้งในวัดระฆังเองและวัดใกล้ๆ เช่น            
ในพระเจดีย์องค์หนึ่ง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระอุโบสถ ซึ่งต่อมาพระเจดีย์องค์นี้ก็ถูกลัก
 เจาะในปี พ.ศ.๒๔๗๑ โดยรายละเอียดในการแตกกรุพระสมเด็จปิลันทน์ในครั้งนี้ พระเทพญาณเวที 
(ละมูล สุตาคโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆัง รูปที่ ๑๐ เมื่อครั้งยังเป็น พระราชธรรมภาณี ผู้ซึ่งอยู่ใน
 เหตุการณ์ช่วงหนึ่ง ได้เขียนบันทึกไว้ดังนี้ 
 
 
 
 
 "ที่เรียกว่า พระปิลันท์ นั้นก็เกิดจาก ผู้เขียนเอง เรื่องมีอยู่ว่าในเวลานั้นโยมป่วยอยู่ที่ศาลาการเปรียญ 
ผู้เขียนต้องไปอยู่ที่ศาลาการเปรียญ เพื่อพยาบาลไข้ วันหนึ่งเข้าไปตัดใบตองที่บริเวณพระอุโบสถ เพื่อ
 ท่ากิจอย่างใดอย่างหนึ่ง ก่าลังนั่งเลื่อยใบตองอยู่ สามเณรรูปหนึ่งวิ่งเข้ามาหาใกล้ๆ ในมือทั้งสองข้างมี
 พระอยู่เต็มทั้งสองฝ่ามือสามเณรพูดว่า มหาเอาพระบ้างไหม ด้วยความไม่สนใจ จึงร้องบอกไปว่า 
“ข้าไม่เอา” สามเณรก็ยังคงพูดว่า “เอาน่า” เมื่อสามเณรเห็นว่าไม่เอา จึงเดินกลับเอาพระสองฝ่ามือ
 นั้นไปกองไว้บนแท่นหิน ซึ่งมีอยู่ตรงที่ที่สร้างหอไตร ฯ เดี๋ยวนี้ เมื่อเลื่อยใบตองม้วนมัดเสร็จแล้ว จึง
 เดินไปดูเห็นพระเจดีย์ที่มุมก่าแพงโบสถ์ ตรงกับกุฏิพระครูสังฆ์รักษ์ประทีป เดี๋ยวนี้ ถูกเจาะเอา
 ออกเป็นช่องกว้าง พระถูกโกยออกมาข้างนอกมากมาย ยังอยู่ในพระเจดีย์อีกก็มาก มีพระภิกษุและ
 สามเณร ๓-๔ รูปนั่งเลือกเก็บเอาแต่พระที่เรียบร้อยไม่หักไม่บิ่น และนึกรู้ทันทีว่าผู้ที่เจาะเป็นคนแรก 

เขาไม่ได้ต้องการพระ เขาต้องการของมีค่าที่ผู้สร้างพระเจดีย์มักเอาบรรจุไว้ เมื่อรู้เห็นดังนั้นแล้วก็เดิน
 กลับโดยไม่ได้แตะต้องพระเลย กลับมาพบพระที่สามเณรเอากองไว้ที่แท่นหิน นึกว่าจะเรี่ยราดทุเรศ 
จึงท่าชายพกให้โตแล้วกอบพระใส่ไว้ในพกกลับศาลาการเปรียญ เก็บใบตองเรียบร้อยแล้วเกิดอยากรู้
 ขึ้นมาว่าเป็นพระอะไร จึงเอาพระไปหาท่านเจ้าคุณเฒ่าคือ ท่านเจ้าคุณพระธรรมถาวร นั่นเอง และ
 เรียนถามท่านว่าหลวงปู่นี่พระอะไร พอท่านรับไปดูท่านออกอุทานว่า อ๋อ พระพุทธบาทปิลันท์ 
นั่นเอง เมื่อรู้แล้วกลับมาใครถามว่าพระอะไร ก็บอกเขาไปว่า พระพุทธบาทปิลันท์ ตามค่าบอกเล่า
 เจ้าคุณเฒ่า ต่อมาค่าว่า “พุทธบาท” หายไปคงเหลือเรียกว่า ปิลันท์ จึงเรียกกันว่า พระปิลันท์ มาจน
 บัดนี้ ตามความเป็นจริงแล้วท่านเจ้าคุณเฒ่าท่านเรียกว่า พระพุทธบาทปิลันท์ เป็นการเรียกชื่อตาม
 สมณศักดิ์ของท่านผู้เป็นต้นคิดสร้างไว้ต่างหาก หาได้มีใครตั้งชื่อตั้งเสียงพระแต่อย่างใดไม่ หม่อมเจ้า
 พระพุทธบาทปิลันท์นี้ ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นล่าดับจนถึงเป็น สมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระ
 พุฒาจารย์ แทนสมเด็จฯอาจารย์ของท่าน 
 
ส่าหรับพระปิลันท์ที่แตกออกมาจากพระเจดีย์นั้นท่านเจ้าพระคุณธรรมทานาจารย์ (แนบ สิงหเสนี) 
ซึ่งอยู่ที่หอไตรฯ ในสระ ท่านเป็นเจ้าคณะและควบคุมดูแลในพระอุโบสถ เมื่อท่านทราบว่าพระแตก
 ออกจากพระเจดีย์ ท่านจึงให้พระมาเก็บรวบรวมเอาขึ้นไปไว้บนหอไตรฯ ทั้งหมด และจะเป็นในปีนั้น
 หรือปีต่อมาจ่าไม่ได้ เกิดสงครามอินโดจีน ท่านเจ้าคุณพระธรรมทานาจารย์ยังได้เอาพระปิลันท์
 เหล่านี้ใส่ถุงไปมอบให้แก่กระทรวงกลาโหม เพื่อแจกจ่ายแต่ทหารที่จะไปปฏิบัติราชการในสนาม 
 
 
 
 
 
ฉะนั้น เมื่อเกิดสงครามอินโดจีน ไม่ปรากฏว่าพระอาจารย์รูปใดได้สร้างพระเครื่องในสมัยนั้น มีผู้สร้าง
 บ้าง ก็คือ ท่านเจ้าคุณธรรมทานาจารย์ แต่ก็สร้างก่อนได้พระปิลันท์ สร้างจากพระผงหักๆ แตกๆ ที่
 ได้จากพระเจดีย์ที่ถูกเจาะซึ่งอยู่ใกล้ต้นโพธิ์ทางทิศตะวันตก เดี๋ยวนี้เป็นหมู่บ้านไปหมดแล้ว จะเขียน
 ต่อไปอีกเรื่องยืดยาวนัก จึงขอยุติเรื่องพระปิลันท์ไว้เพียงเท่านี้ ฯ" 

นอกจากพระสมเด็จปิลันทน์จะได้มาจากกรุในพระเจดีย์ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระอุโบสถแล้ว 
ต่อมายังได้พบพระปิลันทน์อีกกรุหนึ่งในวัดระฆังนั่นเองอีกกรุหนี่งด้วย เรื่องนี้ ท่านเจ้าคุณพระเทพ
 ญาณเวที (ละมูล สุตาคโม) วัดระฆังฯ เล่าว่า ได้ค้นพบพระสมเด็จปิลันธน์อีกกรุหนึ่งบนเพดานหอไตร 
มีทั้งที่สมบูรณ์และช่ารุดจ่านวนมาก จึงได้คัดเอาองค์ที่ช่ารุดมาปลุกเสกสร้างขึ้นใหม่ โดยประกอบพิธี
 ปลุกเสกในพระอุโบสถวัดระฆังฯ เมื่อ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ โดยเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมรวม 
๑๐๘ รูป พระสมเด็จปิลันธน์ ชุดนี้เป็นพระปางสมาธิ มีทั้งชนิดนั่งองค์เดียวบ้าง ๒ องค์และ ๓ องค์
 บ้าง นั่งในม่านแหวกเจดีย์ ๒ องค์ สีด่าเจือขาว เนื้อเหมือนปูนซิเมนต์ 
  
พระสมเด็จปิลันทน์เท่าที่พบมีด้วยกันประมาณ ๒๐ พิมพ์ มีลักษณะแบ่งเป็น  ๒ แบบ คือแบบที่มี
 รูปทรงสี่เหลี่ยม และรูปทรงที่มีลักษณะโค้งคล้ายพระซุ้มกอ ก่าแพงเพชร พุทธลักษณะเป็นพระที่มีทั้ง 
พิมพ์นั่งสมาธิบนฐานต่างๆ และพิมพ์ยืน พระสมเด็จปิลันทน์ มีมากมายหลายพิมพ์ทรง อาทิ พิมพ์
 ปรกโพธิ์ใหญ่, พิมพ์ปรกโพธิ์เล็ก, พิมพ์โมคคัลลาน์-สารีบุตร, พิมพ์ครอบแก้วใหญ่, พิมพ์ซุ้มประตู, 
พิมพ์เปลวเพลิง, พิมพ์หยดแป้ง และพิมพ์ปิดตา ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นที่นิยมสะสมในแวดวงนักนิยมสะสม 
พระเครื่องทั้งสิ้น โดยเฉพาะ “พระสมเด็จปิลันทน์ พิมพ์ซุ้มประตู” ได้รับความนิยมและยกย่องให้เป็น 
๑ ใน ๕ ของ ‘พระชุดเบญจภาคีพระเนื้อผง’ อีกด้วย
ข้อมูลamuletheritage

วิธีการชำระเงิน

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาปตท.ถนนกาญจนาภิเษก 2 ออมทรัพย์

JEWELRY-ANTIQUE-AMULET

ระบบสมาชิก

สถิติร้านค้า

หน้าที่เข้าชม4,557,596 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด3,493,894 ครั้ง
เปิดร้าน4 ก.พ. 2558
ร้านค้าอัพเดท22 ต.ค. 2568

ติดต่อเรา

ติดตามสินค้า

พูดคุย-สอบถาม