รูปหล่อ ท้าวเวสสุวรรณ เนื้อกะหลั่ยทอง เลี่ยมพลาสติก

รูปหล่อ ท้าวเวสสุวรรณ เนื้อกะหลั่ยทอง เลี่ยมพลาสติก
รูปหล่อ ท้าวเวสสุวรรณ เนื้อกะหลั่ยทอง เลี่ยมพลาสติกรูปหล่อ ท้าวเวสสุวรรณ เนื้อกะหลั่ยทอง เลี่ยมพลาสติก
รหัสสินค้า PTHTVSWMRT01
หมวดหมู่ เทพเจ้าจีน ฮินดู คริส พุทธ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ฆราวาสขมังเวทย์ นักบวชจีน วัดจีนนิกาย
ราคา 350.00 บาท
สถานะสินค้า พร้อมส่ง
ลงสินค้า 23 มี.ค. 2567
อัพเดทล่าสุด 23 มี.ค. 2567
จำนวน
องค์
หยิบลงตะกร้า
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay
ท้าวเวสวัณ
ท้าวเวสวัณ (สันสกฤต: वैश्रवण Vaiśravaṇa ไวศฺรวณ; บาลี: वेस्सवण Vessavaṇa เวสฺสวณ) หรือ ท้าวเวสสุวัณ เป็นเจ้าแห่งยักษ์ เป็นหนึ่งในจาตุมหาราช ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ในรามเกียรติ์เป็นโอรสของท้าวลัสเตียนกับนางศรีสุมณฑา มีพระอนุชาคือ ท้าวกุเปรัน ท้าววัสวตีวัณ (เจ้าแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6) ทรงอิทธิฤทธิ์อานุภาพมาก เคยตัดเศียรของท้าวราวณะขาดไป 1 เศียร ครองโลกบาลทิศเหนือ ท้าวเวสวัณคือท้าวกุเวร ในศาสนาฮินดู

ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงท้าวเวสสุวัณ ว่าเป็น 1 ใน 5 ผู้มีสุดยอดอาวุธวิเศษ คือ วชิราวุธของพระอินทร์ ไม้ตะบองของท้าวเวสสุวัณ นัยตาของพระยม ผ้าพันคอของอาฬวกยักษ์ และจักรแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ

ในพระอภิธรรมของเถรวาท ได้จัดให้ยมทูตและนายนิรยบาลที่ลงโทษสัตว์นรกในนรกนั้นเป็นเทวดาประเภทยักษ์ ซึ่งเป็นบริวารของท้าวเวสสุวัณโดยตรง จึงถือกันว่าท้าวเวสสุวัณเป็นจ้าวแห่งวิญญาณที่ควบคุมเหล่าภูตผีปีศาจสัมภเวสีต่าง ๆ อีกด้วย ผ่านยมทูตและนิรยบาลนั่นเอง

คนไทยโบราณนิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็กเพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควานแก่เด็ก ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตรว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกามาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่น ๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาน โดยมอบบทอาฏานาฏิยปริตรให้แก่พระสงฆ์ เพื่อไว้สวดเพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจที่จะมารบกวน และเชื่อว่าถ้าสวดอาฏานาฏิยปริตร โดยพระสงฆ์ จะขับไล่ภูตผีอาถรรพ์มนต์ดำได้ทั้งสิ้น ปัจจุบันจะเรียกการสวดอาฏานาฏิยปริตรอีกชื่อหนึ่งว่าการสวด"ภาณยักษ์"นั่นเอง

ท้าวกุเวรนั้น บางทีก็เรียกว่าท้าวไวศรวัน (เวสสุวัณ) ภาษาทมิฬเรียก "กุเวร" ว่า "กุเปรัน" ซึ่งมีเรื่องอยู่ในรามเกียรติ์ว่า เป็นพี่ต่างมารดาของทศกัณฐ์ และทศกัณฐ์ไปแย่งบุษบกของท้าวกุเวรไป ท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการผิวขาว มีฟัน 8 ซี่ และมีขาสามขา (ภาพท้าวเวสวัณจึงมักเขียนท่ายืนแยงแย่ ถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา) เมืองท้าวกุเวรชื่อ "อลกา" อยู่บนเขาหิมาลัย มีสวนอุทยานอยู่ไหล่เขาแห่งหนึ่งของเขาพระสุเมรุ ชื่อว่า "สวนไจตรต" หรือ "มนทร" มีพวกกินนรและคนธรรพ์เป็นผู้รับใช้ ท้าวกุเวรเป็นโลกบาลประจำทิศเหนือ คนจีนเรียกว่า "ตัวเหวิน" (多聞) คนญี่ปุ่นเรียกว่า "บิชะมนเตง" (毘沙門天(びしゃもんてん)

เชื่อกันว่าการบูชาท้าวเวสสุวัณจะทำให้ค้าขายดี และเชื่อว่าจะทำให้ทรัพย์สมบัติมั่นคง ไม่มีใครจะมาทำลายหรือแย่งชิงไปได้เพราะท้าวเวสสุวัณเป็นผู้ชื่อว่าปกป้องรักษาขุมทรัพย์สมบัติ (ตามตำนานที่ท้าวเวสสุวัณจะสั่งให้คุยหกะยักษ์เฝ้ารักษาขุมทรัพย์ไว้) รวมทั้งเชื่อว่าการบูชาท้าวเวสสุวัณจะป้องกันมนต์ดำจากผู้ไม่หวังดีที่มุ่งประสงค์ให้กิจการค้าขายหรือครอบครัวเดือดร้อนอยู่ไม่สุข หรือใช้เล่ห์เหลี่ยมมาแกล้ง เพื่อเป็นการทำลายคู่แข่งทางการค้า

สัญลักษณ์ของอัยการ
ตามพระราชกฤษฎีกาเครื่องแบบข้าราชการอัยการและระเบียบการแต่งกายฯ พ.ศ. 2524 กำหนดเครื่องแบบข้าราชการอัยการซึ่งรวมถึงเครื่องหมายที่ประดับอินทรธนู จึงตรวจสอบดูปรากฏคำว่า "รูปพระไพศรพณ์" เป็นโลหะสีทองซึ่งกฎหมายนี้กำหนดวิธีการใช้ ดังนี้

กรณีเครื่องแบบพิธีการ เช่น เครื่องแบบปกติขาว เครื่องแบบเต็มยศ ฯลฯ ให้ติดทับอยู่บนอินทรธนูค่อนมาทางด้านไหล่
สำหรับเครื่องแบบสีกากีคอพับ กับเครื่องแบบสีกากีคอแบะ ให้ประดับทับอยู่บนพื้นอินทรธนูภายในขมวดวงกลม ฐานของรูปพระไพศรพณ์อยู่เหนือแถบต้น (กรณีอัยการชั้น 3 ขึ้นไป) หรืออยู่บนแถบที่สองของอินทรธนู (กรณีอัยการชั้น 1 และชั้น 2)
ต่อมาใน พ.ศ. 2503 ได้มีกฎหมายออกมากำหนดให้ข้าราชการอัยการใช้เครื่องหมายนี้มาประดับบนอินทรธนูเพื่อบ่งแสดงให้เห็นว่าข้าราชการอัยการแตกต่างจากข้าราชการพลเรือน และต่อมาใน พ.ศ. 2513 ก็ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีกำหนดให้ใช้รูปท้าวกุเวร (หรือท้าวเวสสุวัณ) เป็นเครื่องหมายราชการของกรมการสารวัตรทหารบกซึ่งเป็นหน่วยงานรักษาความสงบเรียบร้อยของฝ่ายทหาร

ส่วนพระไพศรพณ์ยังคงเป็นสัญลักษณ์ประดับบ่าเสื้อเครื่องแบบอัยการทั้งสองข้างตลอดมา และใน พ.ศ. 2535 สำนักงานอัยการสูงสุดก็ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้รูปพระมหาพิชัยมงกุฎ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตราแผ่นดินวางอยู่บนตราชั่งซึ่งเป็นเครื่องหมายของนักกฎหมาย ประกอบกับอีก 3 รูปรวมกันเป็นเครื่องหมายราชการของสำนักอัยการสูงสุด คือ พระแว่นสุริยกานต์ พระขรรค์ รองรับด้วยช่อชัยพฤกษ์

รูปตราใหม่นี้ถือเป็นเครื่องหมายราชการของหน่วยงานตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2535 ในวาระที่หน่วยงานของอัยการได้เปลี่ยนแปลงสถานะภาพจากหน่วยงานระดับกรมขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย มาเป็นสำนักงานไม่สังกัดกระทรวง ส่วนพนักงานอัยการในปัจจุบันรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่าง ๆ ได้ขยายบทบาทออกไปมาก รวมทั้งกำหนดหน้าที่อัยการไปถึงเรื่องทางการเมืองเพราะอัยการมีหน้าที่ต้องอำนวยความยุติธรรมทางการเมืองด้วยนั่นเอง

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับท้าวเวสสุวัณกับคุยหกะยักษ์
สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 3 หน้า 1439 กล่าวถึงท้าวกุเวรหรือท้าวเวสวัณไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์มียักษ์ และคุยหกะ (ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์) เป็นบริวาร

สมัยหนึ่งพระโพธิสัตว์เสวยชาติเกิดเป็นบิดาของเด็กหญิงตาบอด พระโพธิสัตว์รักและสงสารลูกสาวตาบอดคนนี้มาก อยู่มาวันหนึ่งได้ยินข่าวว่ามีหมอที่เก่งดุจเทวดา จึงเดินทางนำลูกสาวตาบอดไปหาหมอคนนั้น เพื่อให้รักษาดวงตาของลูกสาว หมอจึงบอกว่าต้องใช้สมุนไพรชนิดหนึ่งมาทำเป็นเครื่องประกอบยาจึงรักษาโรคตาของลูกสาวได้ แต่หมอไม่มีสมุนไพรชนิดนั้น และสมุนไพรชนิดนั้นหายาก ต้องไปเอาในสถานที่แห่งหนึ่ง ที่อันตรายมากจึงจะได้มา เมื่อคนเป็นพ่อรู้สถานที่และลักษณะสมุนไพรแล้ว จึงฝากภรรยาให้ดูแลบุตรสาวในขณะที่ตนเองไปหาสมุนไพร ถ้าหายไปนานเกินไปแปลว่าตายแล้ว เมื่อฝากฝังเรียบร้อยจึงออกเดินทางไปหายาสมุนไพร คนเป็นพ่อนั้นได้เดินทางเข้าสู่พื้นที่ของคุยหกะยักษ์หรือยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์ ซึ่งเป็นบริวารของท้าวเวสสุวัณรักษาอยู่ โดยท้าวเวสสุวัณให้ยักษ์ให้รักษาสิ่งสำคัญบางอย่าง และให้อนุญาตไว้ว่าใครเข้ามาในอาณาเขตที่เฝ้ารักษาให้ฆ่าและจับกินเป็นอาหารได้ จึงทำให้คนเป็นพ่อนั้นถูกยักษ์จับและจะกินเป็นอาหาร แต่ท้าวเวสสุวัณได้ให้ปริศนาธรรมเอาไว้ ถ้าใครตอบได้ ห้ามฆ่าเด็ดขาด เพื่อให้โอกาสกับคนมีบุญ คนยังมีโชค ยังไม่ถึงคราวตาย ผู้มีปัญญา และคนมีธรรมะ ได้รอดชีวิต ซึ่งแต่ละสถานที่จะให้ปริศนาธรรมที่แตกต่างกันกับยักษ์คุยหกะแต่ละตน ซึ่งยักษ์คุยหกะตนนี้ได้ปริศนาธรรมชื่อว่าพรหมวิหารปัญหา ซึ่งถามว่า ในพรหมวิหารทั้ง 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ข้อไหนสำคัญที่สุด ผู้เป็นพ่อจึงพิจารณาว่า ลูกสาวของตนตาบอด นำอาหารดี เสื้อผ้าสวยๆให้ใส่ก็ไม่ช่วยให้มีความสุข คนที่ป่วยเป็นโรคที่ทุกข์ทรมาณต่อให้หาอาหาร การแสดงดีๆอย่างไร ก็ไม่ช่วยให้มีความสุขได้ คำตอบจึงไม่ใช่เมตตา จึงพิจารณาต่อไปว่า ลูกสาวของเขาตาบอด จึงไม่มีใครมาอิจฉาริษยาลูกสาวเขาแน่ๆ ลูกสาวของเขาไม่ต้องการมุทิตา คำตอบจึงไม่ใช่มุทิตา ลูกสาวเขาตาบอด ไม่เคยไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร จึงไม่ต้องการให้ใครวางเฉยหรือให้อภัยเพราะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น ลูกสาวเขาไม่ต้องการอุเบกขา คำตอบจึงไม่ใช่อุเบกขา แต่ลูกสาวของเขาต้องการพ้นทุกข์ ต้องการหายตาบอด ลูกสาวของเขาต้องการความกรุณา คำตอบจึงต้องเป็นกรุณาแน่ๆ จึงตอบคำถามยักษ์คุยหกะไปว่ากรุณา ยักษ์จึงเฉลยว่าถูกต้องแล้ว จึงฆ่าคนเป็นพ่อไม่ได้ ตามคำสั่งท้าวเวสสุวัณ จึงปล่อยตัวคนเป็นพ่อแล้วถามว่ามาทำอะไรที่นี้ จึงได้คำตอบว่ามาหาสมุนไพรลักษณะเช่นนี้นำไปรักษาดวงตาลูกสาว ยักษ์รู้จักจึงชี้บอกต้นสมุนไพร ให้คนเป็นพ่อ คนเป็นพ่อจึงได้ต้นสมุนไพรและกลับบ้านไปเพื่อนำสมุนไพรให้หมอนำไปรักษาดวงตาลูกสาวจนหายเป็นปกติ

ดังนั้น ในพุทธคุณทั้ง 3 คือ ปัญญาธิคุณ กรุณาธิคุณ บริสุทธิคุณ หนึ่งในนั้นคือกรุณา ไม่ใช่เมตตา มุทิตา หรืออุเบกขา เพราะกรุณา เป็นธรรมที่สำคัญที่สุดใน พรหมวิหาร 4

อีกเรื่องหนึ่ง

พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเจ้าชาย ที่หลงเข้าไปในพื้นที่ของยักษ์คุยหกะ ซึ่งยักษ์คุยหกะนั้นได้รับปริศนาธรรมชื่อว่าเทวธรรมปัญหา คือถามว่าธรรมที่ทำให้คนเป็นเทวดาคืออะไร พระโพธิสัตว์ตอบว่าหิริโอตตัปปะและกตัญญูกตเวที ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกต้องเช่นกัน เพราะแม้จะยังไม่ตายผู้มีธรรมสองอย่างนี้ได้ขึ้นชื่อเป็นเทวดาตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่
ข้อมูล วิกิพีเดีย

วิธีการชำระเงิน

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาปตท.ถนนกาญจนาภิเษก 2 ออมทรัพย์

JEWELRY-ANTIQUE-AMULET

ระบบสมาชิก

สถิติร้านค้า

หน้าที่เข้าชม4,444,927 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด3,381,225 ครั้ง
เปิดร้าน4 ก.พ. 2558
ร้านค้าอัพเดท6 ก.ย. 2568

ติดต่อเรา

ติดตามสินค้า

พูดคุย-สอบถาม