พระเทพประสิทธิคุณ (ผัน ติสฺสโร)
เกิด ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๕
อายุ ๑๐๓ ปี
อุปสมบท ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๖
พรรษา ๘๒
มรณภาพ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
วัด วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร
ท้องที่ กรุงเทพมหานคร
สังกัด มหานิกาย
ฝ่ายปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๒ - ๒๕๕๐ เป็น เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็น เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร (กิตติมศักดิ์)
สมณศักดิ์
พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็น พระครูสังฆรักษ์ ฐานานุกรมใน พระราชโมลี (นาค โสภโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามฯ
พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็น พระปลัด ฐานานุกรมใน พระธรรมกิติ (ละมูล สุตาคโม) พระราชาคณะชั้นสามัญ อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามฯ
พ.ศ. ๒๕๐๑ เป็น พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท ที่ พระครูโฆสิตสมณคุณ
พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็น พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
พ.ศ. ๒๕๑๑ เป็น พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นพิเศษ ในราชทินนามเดิม
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระพิพัฒนกิจวิธาน
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็น พระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชสุวัฒนาภรณ์ สุนทรวิหารกิจ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็น พระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพประสิทธิคุณ วิบูลวิหารกิจจาทร บวรธรรมธาดา มหาคณิสสร
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร เป็นวัดพุทธในประเทศไทย ตั้งอยู่ในแขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรมหาวิหาร อยู่ในเขตการปกครองคณะสงฆ์มหานิกาย ภาค 1 วัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อว่า "วัดบางหว้าใหญ่" ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสถาปนาพระราชวังใกล้เคียงกับวัดดังกล่าว และโปรดเกล้าฯ ให้ยกวัดนี้ขึ้นเป็นพระอารามหลวง โดยใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วัดบางหว้าใหญ่อยู่ภายใต้พระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี พระเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นพระชนนีของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข พระองค์ทรงมีตำหนักที่ประทับอยู่ติดกับวัด และทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ระหว่างการบูรณปฏิสังขรณ์ได้ขุดพบระฆังสัมฤทธิ์ใบหนึ่ง ซึ่งพระองค์ทรงโปรดให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และทรงพระกรุณาให้สร้างระฆังขึ้นใหม่จำนวน 5 ใบมาทดแทน พร้อมพระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดระฆังโฆสิตาราม" เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์นั้น และฟื้นฟูตามแบบแผนในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่เคยมีวัดชื่อเดียวกัน ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการให้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดราชคัณฑิยาราม" (คำว่า "คัณฑิ" แปลว่า ระฆัง) แต่เนื่องจากประชาชนไม่นิยมเรียกชื่อนี้ จึงยังคงใช้ชื่อว่า "วัดระฆังโฆสิตาราม" จนถึงปัจจุบัน
วัดระฆังโฆสิตารามมีหอพระไตรปิฎกซึ่งถือเป็นสถาปัตยกรรมที่วิจิตรสวยงาม เดิมทีเป็นพระตำหนักและหอประทับนั่งของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขณะยังทรงรับราชการในสมัยกรุงธนบุรี และเมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ได้โปรดเกล้าฯ ให้นำอาคารดังกล่าวมาถวายวัด พร้อมทรงมีพระราชประสงค์ให้บูรณปฏิสังขรณ์ให้วิจิตรงดงาม เพื่อใช้เป็นหอพระไตรปิฎกประจำพระอารามแห่งนี้
เดิมเป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ วัดบางว้าใหญ่ (หรือบางหว้าใหญ่) ในสมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางว้าใหญ่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ และขึ้นยกเป็นพระอารามหลวง และเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชในสมัยรัตนโกสินทร์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ประชุมสังคายนาพระไตรปิฎก ซึ่งอัญเชิญมาจากนครศรีธรรมราชขึ้นที่วัดนี้
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วัดบางว้าใหญ่อยู่ในพระอุปถัมภ์ของเจ้านายวังหลัง คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี (สา) พระเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นพระชนนีของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงมีตำหนักที่ประทับอยู่ติดกับวัด และได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้ขุดพบระฆังลูกหนึ่ง ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดบางว้าใหญ่ 5 ลูกไก่
พระอุโบสถ
สร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นทรงแบบไทยประเพณีที่สืบทอดรูปแบบมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เครื่องหลังคาเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องลดมีจำนวนชั้นซ้อนหลังคา 3 ซ้อน มีจำนวนตับหลังคา 4 ตับ ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ มีมุขโถงด้านหน้าและหลัง มีเสารับมุขทรงเหลี่ยมทึบตันไม่ย่อมุม ไม่ประดับบัวหัวเสาตามรูปแบบที่นิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 มีคันทวยรอบรับชายคา คันทวยมีขนาดใหญ่เป็นไม้แกะสลักลงรักปิดทอง บริเวณมุขด้านหน้าและหลังทำปีกนกคลุมมุขอยู่ในระยะไขราหน้าจั่ว หน้าบันแบ่งเป็น 2 ชั้น หน้าบันชั้นบนเป็นไม้แกะสลักจำหลักลายพระนารายณ์ทรงครุฑประดับลายกระหนกก้านขดลงรักปิดทองประดับกระจก หน้าบันชั้นล่างเจาะเป็นช่องหน้าต่าง 2 ช่อง แต่ไม่สามารถเปิดได้เป็นเพียงงานประดับ ซุ้มประตู - หน้าต่าง รอบพระอุโบสถทำเป็นทรงบรรพแถลง เว้นประตูกลางด้านหน้าทำเป็นซุ้มทรงปราสาท บานประตูหน้าต่างด้านนอกเขียนลายรดน้ำรูประฆัง ด้านในเขียนภาพทวารบาลยืนแท่นระบายสี บริเวณฝาผนังภายในพระอุโบสถโดยรอบเขียนภาพจิตรกรรมเทพชุมนุมและทศชาติชาดก ผนังด้านหน้าพระประธานเขียนเป็นภาพพระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์ก่อนเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้านหลังพระประธานเขียนภาพพระมาลัยขณะขึ้นไปนมัสการพระมหาจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เบื้องล่างเขียนภาพสัตว์นรกในอาการต่างๆ เขียนโดย พระวรรณวาดวิจิตร (ทอง จารุวิจิตร) จิตรกรเอกในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อราว พ.ศ. 2465 ครั้งมีการบูรณะซ่อมแซมพระอุโบสถ
พระประธานในพระอุโบสถ ( พระประธานยิ้มรับฟ้า )
พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หล่อด้วยสำริดลงรักปิดทอง ไม่มีประวัติการสร้างและไม่ปรากฏพระนาม แต่ผู้คนทั่วไปเรียกพระประธานองค์นี้ว่า "พระประธานยิ้มรับฟ้า" มีที่มาจากพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 5 ที่รับสั่งว่า "ไปวัดไหนไม่เหมือนวัดระฆัง พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกทีไป" ลักษณะพุทธศิลป์ของพระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ พระพักตร์ค่อนข้างเหลี่ยม ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลวสูง พระขนงโก่ง ระหว่างเส้นขอบพระเนตรกับพระขนงป้ายเป็นแผ่น คล้ายกับพระพุทธรูปในสมัยอยุธยาตอนกลางและตอนปลาย พระโอษฐ์กว้าง แย้มพระโอษฐ์ จึงได้รับการเรียกว่าพระประธานยิ้มรับฟ้า ชายผ้าสังฆาฏิเป็นริ้วซ้อนกัน มีส่วนโค้งบรรจบกันเป็นวงแหลมรูปกลีบบัว คล้ายกับพระพุทธรูปที่พบในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง แต่สังฆาฏิมีขนาดใหญ่และอยู่กึ่งกลางพระวรกายอันเป็นรูปแบบของพระพุทธรูปในสมัยรัตรโกสินทร์ แต่โดยรวมแล้วยังคงลักษณะที่ใกล้เคียงกับพระพุทธรูปในสมัยอยุธยาตอนปลาย ด้านบนประดับพระเศวตฉัตร 9 ชั้น
พระวิหาร (พระอุโบสถหลังเก่า)
พระวิหารเป็นพระอุโบสถหลังเดิมที่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นอาคารที่มีขนาดเล็กแบบไทยประเพณี หลังคาเป็นเครื่องไม้ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ช่อฟ้าประดับเป็นปูนปั้นรูปเศียรนาค เครื่องลำยองรวมถึงหางหงส์เป็นงานปูนปั้นคงได้รับการบูรณะในสมัยหลัง มีจำนวนชั้นซ้อนหลังคา 2 ซ้อน มีจำนวนตับหลังคา 3 ตับ หน้าบันเป็นหน้าบันก่ออิฐถือปูน แบ่งเป็น 2 ชั้น หน้าบันชั้นบนเป็นปูนปั้นประดับกระเบื้องรูปพรรณพฤกษาซึ่งคงได้รับการบูรณะในสมัยหลัง หน้าบันชั้นล่างทำเป็นปูนปั้นเสาประดับ 2 เสา มีบัวหัวเสาเป็นรูปบัวแวง มีมุขโถงด้านหน้า-หลัง มีเสารับมุขทรงเหลี่ยมทึบตันไม่ย่อมุม ไม่ประดับบัวหัวเสาไม่ประดับคันทวย ซุ้มประตู-หน้าต่างทำเป็นปูนปั้นทรงโค้งแบบศิลปะเปอร์เซียร์ ด้วยเหตุที่พระอุโบสถเก่านี้มีขนาดเล็ก ไม่เหมาะกับการสังฆกรรมในช่วงเวลาที่วัดได้รับการสถาปนาใหม่แล้วจึงได้มีการสร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ด้านทิศเหนือในรัชกาลที่ 3
เจดีย์ประธานทรงปรางค์
เจดีย์ประธานของวัดเป็นเจดีย์ทรงปรางค์ ตั้งอยู่บริเวณหน้าพระวิหาร ด้านข้างพระอุโบสถ รัชกาลที่ 1 มีพระราชศรัทธาสร้างพระปรางค์ พระราชทานร่วมกุศลกับสมเด็จพระพี่นางพระองค์ใหญ่ (สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมพระเทพสุดาวดี พระนามเดิม สา) ได้รับการยกย่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ว่า เป็นพระปรางค์ที่ทำถูกแบบที่สุดในประเทศไทย พระปรางค์องค์นี้จัดเป็นพระปรางค์แบบ สถาปัตยกรรมรัตนโกสินทร์ยุคต้น ที่มีทรวดทรงงดงามมาก จนยึดถือเป็นแบบฉบับของพระปรางค์ที่สร้างในยุคต่อมา รูปแบบของเจดีย์ประกอบไปด้วยส่วนฐานมีฐานประทักษิณเป็นรูปแบบฐานสิงห์ 1 ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นฐานบัวคว่ำ-บัวหงายรองรับฐานสิงห์ชั้นที่ 1 ถัดไปเป็นชั้นฐานบัวลูกแก้วอกไก่และฐานสิงห์ชั้นที่ 2 รองรับเรือนธาตุ ฐานทั้งหมดอยู่ในผังย่อมุมไม้ 36 ถัดขึ้นไปเป็นส่วนเรือนธาตุ มีซุ้มจรนำทั้ง 4 ด้าน ภายในซุ้มทุกด้านประดิษฐานพระพุทธรูปยืนพนมมือ ถัดขึ้นไปเป็นส่วนยอดประกอบไปด้วยชั้นเชิงบาตร ประดับประติมากรรมครุฑแบกทั้ง 4 ทิศ และโดยรอบประดับประติมากรรมอสูรถือกระบอง ส่วนยอดเป็นทรงพุ่ม ป้อมเตี้ย เป็นเรือนชั้นซ้อนชั้น 5 ชั้น ประดับช่องวิมาน ซุ้มวิมาน บรรพแถลง ยอดบนสุดประดับนพศูล ซึ่งรูปแบบของเจดีย์ประธานวัดระฆังนี้ยังมีรูปแบบที่ใกล้เคียงกับเจดีย์ทรงปรางค์ในสมัยศิลปะอยุธยา
หอพระไตรปิฎก
เป็นรูปเรือน 3 หลังแฝด หอด้านใต้ลักษณะเป็นหอนอน หอกลางเป็นห้องโถง หอด้านเหนือเข้าใจว่าเป็นห้องรับแขก ของเดิมเป็นหลังคามุงจาก ได้เปลี่ยนเป็นมุงกระเบื้อง ชายคาเป็นรูปเทพพนมเรียงรายเป็นระยะๆ เปลี่ยนฝาสำหรวดไม้ขัดแตะเสียบกระแชงเป็นขัดด้วยหน้ากระดานไม้สักระหว่างลูกสกล ใช้แผ่นกระดานไม้สักเลียบฝาภายในแล้วเขียนรูปภาพต่าง ๆ บานประตูด้านใต้เขียนลายรดน้ำ บานประตูหอกลางด้านตะวันออกแกะเป็นลายกนกวายุภักษ์ ประกอบด้วยกนกเครือเถา บานซุ้มประตูนอกชานแกะเป็นมังกรลายกนกดอกไม้ภายนอกติดคันทวยสวยงาม ภายในมีตู้พระไตรปิฎกขนาดใหญ่เขียนลายรดน้ำ 2 ตู้ ประดิษฐานไว้ในหอด้านเหนือ 1 ตู้ หอด้านใต้ 1 ตู้ หอพระไตรปิฎกนี้ตั้งอยู่ภายในเขตพุทธาวาส ทิศใต้ของพระอุโบสถ
หอระฆัง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้สืบถามเรื่องระฆังของวัดบางหว้าใหญ่ซึ่งเป็นระฆังที่มีเสียงไพเราะยิ่งนัก ที่ขุดได้ในวัดนั้นว่าขุดได้ ณ ที่ใด ทรงขอระฆังเสียงดีลูกนั้นไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จึงทรงสร้างหอระฆังพร้อมพระราชทานระฆัง 5 ใบไว้แทนใบเดิม เพราะเหตุแห่งการขุดระฆังได้ จึงได้ชื่อตามที่ประชาชนเรียกว่า วัดระฆัง ตั้งแต่นั้นมา ลักษณะโดยรวมของหอระฆังคือ คือ เป็นหอระฆังแบบจตุรมุขยกฐานสูง ตรงกลาง 1 และที่มุขทั้ง 4 ด้านละ 1 ใบ มีหลังคาแบบไทยประเพณี คือเป็นหลังคาจั่วซ้อนชั้น 2 ซ้อน ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันเป็นไม้แกะสลักรูปเทพพนม ล้อมด้วยลายกระหนกก้านขดลงรักปิดทองประดับกระจก ประดับบัวหัวเสาเป็นรูปบัวแวง มีคันทวยรับชายคา
พระเจดีย์สามองค์
สร้างโดยเจ้านายวังหลัง 3 องค์ คือ กรมหมื่นนราเทเวศร์ (พระองค์เจ้าชายปาล ต้นสกุล ปาลกะวงศ์) กรมหมื่นนเรศร์โยธี (พระองค์เจ้าชายบัว) และกรมหมื่นเสนีย์บริรักษ์ (พระองค์เจ้าชายแดง ต้นสกุล เสนีวงศ์) สร้างโดยเสด็จพระราชกุศลในรัชกาลที่ 3 เมื่อคราวสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ เป็นเจดีย์ที่มีรูปแบบและขนาดเดียวกัน เป็นเจดีย์ทรงเครื่อง อยู่ในผังย่อมุมไม้ 20 มีฐานประทักษิณเตี้ยๆ 1 ฐาน ถัดขึ้นไปเป็นฐานเขียง 1 ชั้น รองรับชุดฐานสิงห์ 3 ชั้น ถัดไปเป็นบัวทรงคลุ่มรองรับองค์ระฆัง ต่อด้วยองค์ระฆัง บัลลังก์ ส่วนยอดเป็นบัวทรงคลุ่มเถา ปลี ลูกแก้ว ปลียอด ประดับส่วนบนสุดด้วยเม็ดน้ำค้างตามลำดับ ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของพระอุโบสถหลังปัจจุบัน
ศาลาการเปรียญ
ศาลาการเปรียญเป็นอาคารแบบพระราชราชนิยมในรัชกาลที่ 3 คือ เป็นศิลปะไทยผสมศิลปะจีน หน้าบันก่ออิฐถือปูนประดับลวดลายปูนปั้นรูปพรรณพฤกษา ในตำแหน่งของเครื่องลำยองทำเป็นลวดลายปูนปั้นเป็นลวดลายผ้าที่ผูกลายกับลายพรรณพฤกษาจำพวกดอกไม้ หลังคามีจำนวนซ้อนหลังคา 2 ซ้อน มีจำนวนตับหลังคา 3 ตับ มีมุขโถงด้านหน้า-หลัง ไม่มีระเบียงรอบอาคาร เสาเฉลียงรองรับมุขหน้า-หลังเป็นรูปแบบเสาเหลี่ยมทึบตันขนาดใหญ่ ซึ่งนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 ซุ้มประตู-หน้าต่างทำเป็นปูนปั้นทรงโค้งแบบศิลปะเปอร์เซียร์ ด้านในมีเสาร่วมในเป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมทึบตันเช่นเดียวกับเสาเฉลียง พระประธานในศาลาการเปรียญเป็นพระพุทธรูปสำริด ปางสมาธิ พุทธลักษณะแบบพระพุทธรูปในสมัยรัชกาลที่ 3 คือ มีพระวรกายเพรียวบาง สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่จรดพระนาภี พระพักตร์ค่อนข้างกลมกึ่งไข่ ขมวดพระเกษาเล็ก มีพระรัสมีเป็นเปลว พระขนงโก่ง พระเนตรเปิดและมองตรง พระนาสิกค่อนข้างเล็กและโด่ง พระโอษฐ์เล็กแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย เส้นพระโอษฐ์โค้งเล็กน้อยเกือบเป็นเส้นตรง เรียกว่า "พระพักตร์อย่างหุ่น"
หอพระไตรปิฎก (คณะ 2)
อยู่หน้าตำหนักแดง ในคณะ 2 เป็นเรือนไม้ฝาปะกน ปิดทอง ทาสีเขียวสด ประตูหน้าต่างเขียนลายรดน้ำสวยงามมาก
พระวิหารสมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
ตั้งอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ หลังคามุงกระเบื้องเคลือบติดคันทวยตามเสาสวยงาม หน้าบันทั้งสองด้าน จำหลักรูปฉัตร 3 ชั้นอันเป็นเครื่องหมายพระยศสมเด็จพระสังฆราช วิหารหลังนี้เดิมหลังคาเป้นทรงปั้นหยา เรียกว่าศาลาเปลื้องเครื่อง พระราชธรรมภาณี (ละมูล) ได้เปลี่ยนเป็นหลังคาทรงไทยมีช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ เมื่อ พ.ศ. 2504 เพื่อประดิษฐานพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราช (สี) ซึ่งเดิมบรรจุอยู่ในรูปพระศรีอาริยเมตไตรย ประดิษฐานในซุ้มพระปรางค์ของวัดระฆัง ต่อมาได้ย้ายมาประดิษฐานที่พระวิหารที่ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เพื่อยกย่องพระเกียรติของพระองค์
ลำดับเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม
1. สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) 2312 — 2337
2. พระพนรัตน (นาค) 2337 — ?
3. พระพุฒาจารย์ (อยู่) ? — ?
4. สมเด็จพระพนรัตน (ทองดี) ? — ?
5 สมเด็จพระพนรัตน (ฤกษ์) ? — ?
6. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) 2395 — 2415
7. หม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด) 2415 — 2437
8. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (หม่อมราชวงศ์เจริญ ญาณฉนฺโท) 2437 — 2470
9. พระเทพสิทธินายก (นาค โสภโณ) 2470 — 2514
10. พระเทพญาณเวที (ละมูล สุตาคโม) 2515 — 2530
11. พระเทพประสิทธิคุณ (ผัน ติสฺสโร)[8] 2532 — 2550
12. พระธรรมธีรราชมหามุนี (เที่ยง อคฺคธมฺโม) 2550 — 2564
13. พระเทพประสิทธิคุณ (ประจวบ ขนฺติธโร) 19 กุมภาพันธ์ 2565 - ปัจจุบัน
ข้อมูลวิกิพีเดีย