หลวงพ่อลมูล ขันติพโล วัดเสด็จ อ.เมือง จ.ปทุมธานี
หลวงพ่อลมูล ขันติพโล หรือท่านพระครูสาทรพัฒนกิจ เจ้าอาวาสวัดเสด็จ ตำบลสวนพริกไทย อ.เมือง จ.ปทุมธานี ท่านเป็นเกจิอาจารย์ที่มหาชนในยุคก่อนและยุคนี้ต่างก็ให้ความเคารพนับถือมากมาย หลวงพ่อลมูลท่านเป็นชาวมอญโดยกำเนิด เดิมชื่อลมูล จับจิตต์ เกิดวันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2458 แรม 5 ค่ำ ปีเถาะ บิดาชื่อ นายติ่ง มารดาชื่อ นางแม้น จับจิต ท่านเกิดที่หมู่ 4 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี มีพี่น้องด้วยกัน 6 คน ท่านเป็นคนที่ 2 ของครอบครัว เมื่อท่านอายุได้ 3 ขวบ ท่านได้ย้ายตามบิดามารดามาอยู่ในคลองบางใหญ่หมู่ที่ 1 ตำบลสวนพริกไทย อ.เมือง จ.ปทุมธานี เพราะโยมปู่เหลือ และโยมย่าแหวว จับจิตต์ ได้มอบมรดกที่ดินให้กับครอบครัวของท่านไว้ทำกิน ท่านจึงต้องย้ายมาอยู่ด้วย พอท่านอายุได้ 12 ปี โยมพ่อได้นำท่านไปฝากให้เรียนหนังสือกับ"พระอาจารย์ไม้" ที่วัดเสด็จ ท่านอยู่ได้ 1 ปี ทำให้ท่านได้ฝึกฝนนิสัยไปในทางอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักที่สูงที่ต่ำ ทั้งสิ่งที่ควรและไม่ควร ต่อมา "ครูชั้น ดำกลิ่น" ได้มาขอตัวท่านจากพระอาจารย์ไม้ไปเป็นศิษย์ โดยให้ไปเรียนหนังสือเพิ่มเติมที่วัดพระเชตุพน คณะ 20 ท่านศึกษาจนอ่านออกเขียนได้เป็นอย่างดี โดยสมัยนั้นสมเด็จป๋าสมเด็จพระสังฆราช(ปุ่น ปุ่ณณสิริ) ยังคงเป็นครูสอนภาษาบาลีอยู่ ณ สำนักแห่งนี้ แต่ในการเรียนต่อของท่านในขณะนั้นได้ชะงักลง เพราะเหตุที่โยมพ่อต้องการให้กลับมาช่วยดูแลทำนาเพื่อช่วยครอบครัว ท่านจึงต้องกลับมาทั้งๆที่เสียดายมาก หลังจากที่ท่านกลับมาอยู่บ้าน ท่านก็ได้ช่วยโยมพ่อทำนาพร้อมกับได้เริ่มเรียนหนังสือต่ออีก เพราะอายุท่านนั้นไม่พ้นเกณฑ์ยังอยู่ในภาคบังคับ ต้องเรียนหนังสือต่อ หลวงพ่อลมูลจึงเรียนที่วัดเสด็จซึ่งได้มีการเปิดโรงเรียนประชาบาลภาคบังคับขึ้น ท่านจึงได้เริ่มเรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาอีก ท่านเป็นนักเรียนคนที่ 38 ของโรงเรียนนี้ ท่านเรียนจนจบชั้นประถมปีที่ 3 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนในสมัยนั้น หลังจากที่ไม่ได้เรียนแล้ว ท่านก็ได้ช่วยเหลือบิดา มารดาทำนา ตามความประสงค์จนอายุได้ 18 ปี บิดามารดาของท่านได้ขอให้ท่านแต่งงานเปรียบเสมือนโซ่ตรวนผูกมัดไม่ให้บวช อีกประการหนึ่งท่านต้องการศึกษาหาความรู้ใส่ตนให้มากขึ้นกว่านี้ ประกอบกับจิตใจของท่านฝังลึกว่า การบวชนั้นเปรียบเสมือนทางไปสวรรค์ที่จะสามารถบันดาลให้พ้นทุกข์ได้
ความตั้งใจของหลวงพ่อลมูล ขันติพโล วัดเสด็จ จ.ปทุมธานี สัมฤทธิ์ผล คือโยมบิดา มารดา ไม่อาจขัดได้จึงได้นำท่านไปฝากเป็นนาคกับ พระอธิการเผือก สุกโก ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส วัดเสด็จ ในขณะนั้นหลวงพ่อลมูล ขันติพโล ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาโดยสมบูรณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2497 ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 7 เวลา 14 นาฬิกา 50 นาที ที่พระอุโบสถวัดเสด็จ โดยมีหลวงปู่เทียนหรือท่านพระครูบาวรธรรมกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการเผือก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ไม้ รุกขโก เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ขันติพโลภิกขุ"
หลังจากที่ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านได้ตั้งใจแน่วแน่ว่า ท่านจะเล่าเรียนพระธรรมวินัยตามระเบียบของวัด คือการเรียนพระปริยัติธรรมและจะตั้งใจปฏิบัติกิจในพระบวรพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดตลอดชั่วชีวิต ในเพศพรหมจรรย์ของท่านจะขอถวายตัวเป็นพุทธบุตรผู้สืบต่อพระพุทธศาสนาไปจนชีวิตจะหาไม่ พรรษาแรกท่านก็ได้เรียนนักธรรมชั้นตรี พรรษาที่ 2 ท่านก็สอบนักธรรมชั้นตรีได้ ในพรรษาที่ 3 ท่านก็สอบนักธรรมชั้นโท แต่สอบตก ท่านจึงอธิษฐานจิตจะไม่ขอเรียนนักธรรมชั้นโท และนักธรรมชั้นเอกอีกต่อไป ท่านจะเปลี่ยนแนวทางมุ่งไปในทางปฏิบัติ เมื่อหลวงพ่อตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ท่านก็ออกเดินธุดงค์ มุ่งหาความวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร แต่ก่อนเดินธุดงค์นั้นท่านได้ขอไปฝึกกรรมฐานเพิ่มเติมจาก หลวงปู่เทียน พระอาจารย์ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน ซึ่งท่านก็ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้เต็มที่ หลังจากได้รับการฝึกฝนในด้านสมาธิอย่างเพียงพอ หลวงปู่เทียน ท่านได้มอบหมายให้หลวงปู่พร้อม เป็นหัวหน้านำในการธุดงค์ในครั้งนั้น ในด้านส่วนลึกของหลวงพ่อลมูล ท่านต้องการออกธุดงค์ไปองค์เดียวแต่ติดขัดในข้อบัญญัติทางพระธรรมวินัยว่าพระที่จะออกธุดงค์ถ้ามีพรรษาไม่ถึง 5 พรรษา ต้องมีพระพี่เลี้ยงนำไป แต่ถ้าเกิน 5 พรรษาไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องมี จุดแรกที่ที่ท่านออกธุดงค์ ก็คือที่วัดพระพุทธบาทสระบุรี เพราะสถานที่นี้เป็นที่อันศักดิ์สิทธิ์ มีความสงบ ร่มรื่นเหมาะในการบำเพ็ญเจริญภาวนา ต่อจากนั้นท่านก็มุ่งสู่ภาคเหนือ แม่สอด ตาก กำแพงเพชร เพราะท่านเห็นว่ามีภูเขามากเป็นแดนที่สงบ ในการเดินทางไปภาคเหนือครั้งนั้นท่านพบกับอุปสรรคอย่างมากมาย จากสัตว์ป่าบ้าง ตลอดจนอาหารที่ฉันท์เพราะไม่ค่อยมีหมู่บ้าน ท่านต้องฉันท์ผลไม้ป่าแทนแทบทุกวัน ฉันท์วันละเพียงมื้อเดียว ส่วนในด้านฝึกหัดปฏิบัติธรรมและจำวัดในตอนกลางคืน หลวงพ่อท่านก็ต้องหาสถานที่ปลอดภัย หลวงพ่อลมูลตั้งอยู่ในความไม่ประมาท หลังจากการเดินทางเข้าสู่พรรษาที่ 5 พระพี่เลี้ยงต่างก็แยกย้ายกันเดินทางกลับ หลวงพ่อลมูล จึงออกเดินธุดงค์เพียงองค์เดียว เดินทางไปถึงประเทศพม่า ท่านได้ไปพบกับถ้ำประหลาดซึ่งอยู่ในภูเขาลูกเล็กๆ แต่มหัศจรรย์มากเพราะภายในถ้ำมีแต่ขี้ค้างคาว แต่ไม่มีกลิ่นเหม็นเลยสักนิดเดียว และมีค้างคาวเต็มไปหมด แต่ค้าวคาวก็ไม่เคยบินมาถูกท่านเลย การเดินทางเอาตัวรอดในป่าดงดิบก็ด้วยการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังต่อเนื่องและเคร่งครัดอำนาจบารมีของพุทธคุณ ธรรมคุณและสังฆคุณ เป็นอำนาจสูงสุด ผู้ปฏิบัติเคร่งครัดย่อมได้ผล แม้แต่ไปเจอสิงห์สาราสัตว์ที่ดุร้าย เจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขา ด้วยอานุภาพบารมีดังกล่าวช่วยคุ้มภัยได้เป็นอย่างดี
หลังจากที่หลวงพ่อลมูล วัดเสด็จ ท่านได้ธุดงค์ได้ระยะหนึ่ง หลวงพ่อท่านก็ได้เดินทางกลับมายังวัดเสด็จ เพื่อมาช่วยเหลือกิจการของสงฆ์ในวัด ซึ่งในขณะนั้น หลวงปู่เผือกผู้ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสมีปัญหาเกี่ยวกับการปกครอง เนื่องจากมีพระภิกษุในวัดเดียวกันจะคิดกำจัด และปลดท่านจากการเป็นเจ้าอาวาส ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า บัญชีของวัดทำไม่ถูกต้อง และหย่อนสมรรถภาพในการปกครอง แต่ในข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเป็นเพราะหลวงปู่เผือกเป็นพระที่มีความละเอียดรอบครอบ กระทำสิ่งใดๆไม่หวังผลประโยชน์มากเกินไป จึงเป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้างเสียผลประโยชน์ พากันกลั่นแกล้งท่าน หลวงปู่เทียนซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าคณะตำบลบ้านกลางจึงได้เรียกตัวหลวงพ่อลมูลไปปรึกษาและมอบหมายให้ช่วยเหลือหลวงปู่เผือก ในด้านภารกิจต่างๆท่านได้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ตั้งแต่นั้นมาท่านจึงไม่มีโอกาสออกเดินธุดงค์อีกต่อไป เพราะหน้าที่บังคับและหลังจากนั้นท่านก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ.2491 คือหลังจากที่พระอธิการเผือกได้มรณะภาพลงเมื่อปี พ.ศ.2490
ในด้านผลงานของหลวงพ่อลมูล ท่านได้พัฒนาไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ถนนหนทาง จนถึงบ้านพักและสถานีตำรวจสวนพริกไทย อนามัย และโรงเรียน ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือเลื่อมใส ต่างก็ได้ส่งบุตรหลานของตนเข้ามาบวชอยู่กับท่านอย่างมากมาย ทุกคนได้หันหน้าเข้าวัดด้วยการฝึกปฏิบัติธรรมกับท่านมิได้ขาดเพราะชาวบ้านถือกันว่าท่านเป็นพระที่มีเมตตาธรรมสูง จากผลงานในด้านปริยัติธรรมและปฏิบัติธรรม ทำให้ทางคณะสงฆ์มีความเห็นขอแต่งตั้งให้ท่านเป็นพระครูใบฏีกาลมูล เมื่อปี พ.ศ.2495 โดยฐานะนุกรมของท่านเจ้าคุณธรรมกิตติในปีพ.ศ.2500 ท่านได้รับตำแหน่งเป็นพระอุปัชฌาย์อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
ผลงานในด้านปริยัติธรรมหลวงพ่อลมูล ท่านก็ได้ตั้งสำนักเรียนนักธรรมตั้งแต่ชั้นตรี -โท- เอก ขึ้นรวมทั้งสอนแผนกบาลีด้วย ทางด้านปฏิบัตินั้นท่านได้ฝึกอบรมกรรมฐานเป็นประจำ จนมีญาติโยมเข้ามาฝึกกรรมฐานกันมากขึ้นทุกวันเพราะเชื่อกันว่า การฝึกกรรมฐานกับท่านแล้วทำให้เกิดศรัทธาแรงกล้า ส่วนในระยะที่อยู่ในพรรษาแต่ละพรรษาท่านต้องเป็นผู้นำพระใหม่ และเก่าฝึกกรรมฐาน รวมทั้งเป็นผู้นำสวดมนต์เช้าเย็นมิได้ขาดทุกวัน ตลอดจนสั่งสอนอบรมจริยวัตรในขณะที่เป็นสงฆ์และไปเป็นฆราวาส ด้านการพัฒนาวัด หลวงพ่อลมูลได้ทำต่อเนื่องมาโดยตลอดตั้งแต่ท่านเข้าดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเสด็จด้วยความสามารถนานาประการของหลวงพ่อลมูล จึงจัดว่าท่านเป็นพระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งของเมืองไทยที่พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก หลวงพ่อลมูล ขันติพโล วัดเสด็จ อ.เมือง จ.ปทุมธานี ท่านมรณภาพเมื่อพ.ศ.2548 สิริอายุ 89 ปี