ปี 2535 เนื้อทองผสม
ประวัติหลวงพ่อบุญรอด พระครูนิติสารโสภณ วัดดงชะพลู เกิดเมื่อปี พ.ศ.2463 พี่น้องท่านเล่าว่าเมื่อแรกเกิด เดิมหลวงพ่อท่านชื่อ ทองสุข กุลฉิม มารดาท่านเสียชีวิตตั้งแต่ท่านเกิด บิดาและพี่นมได้เลี้ยงท่านรอดมาจนโต บิดาท่านจึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า บุญรอด
หลวงพ่อท่านมีภูมิลำเนา อยู่ที่บ้านดงชะพลู อ.โกรกพระ จ.นครสวรรค์ (บ้านของหลวงพ่อสมัยนั้นเป็นร้านขายของชำอยู่บริเวณใกล้ๆ กับหัวศาลาวัดในปัจจุบัน) บิดาชื่อ นายแกร มารดาชื่อนางทอง นามสกุล กุลฉิม
มีพี่น้อง ร่วมบิดาและต่างมารดา รวมทั้งหมด 7 คน
1.หลวงพ่อบุญรอด พระครูนิติสารโสภณ
2.นางเชื้อ
3.นายสมพงษ์
4.นายสมพร
5.นางจำนงค์
6.นางจำเนียน
7.นายสละ (น้องเลี้ยง)
เมื่อครั้งอายุได้ ประมาณ 11 ปี หลวงพ่อได้ให้บวชเรียนเป็นสามเณร ที่วัดนครสวรรค์ (วัดหัวเมือง) ต่อมา พระครูสนธ์ และ พระครูสำรวย วัดหน้าพระเมรุ (พระครูสำรวยคนบ้านดงชะพลู)ได้พาหลวงพ่อและสามเณรอีกหลายรูปไปศึกษาต่อ ที่ วัดพระเมรุราชิการามวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา ได้ศึกษาวิชาอักษรโบราณ จนสามารถอ่านออกเขียนชำนาญ ทั้งหนังสือไทยและหนังสือขอม เมื่อศึกษาเล่าเรียน ผ่านมาเป็นเวลาหลายปี
เมื่ออายุครบอุปสมบทตามประเพณี จึงได้กลับมาอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดบางมะฝ่อ โดย พระครูนิพัทธ ธรรมศาสน์ หลวงพ่อแช่ม วัดโกรกพระใต้ เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้จำพรรษาที่วัดดงชะพลู ต่อมาได้ขออนุญาตพระอุปัชฌาย์ ไปศึกษาต่อ และจำพรรษา ที่วัด หน้าพระเมรุ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นเวลาประมาณ 9 ปี และได้ลาสิกขา กลับมาอยู่ที่บ้านดงชะพลู ประมาณครึ่งปี เนื่องจากท่านป่วย และท่านได้ตั้งตนไว้ว่า ถ้าท่านหายป่วยท่านจะกลับไปบวชอีกครั้ง
ต่อมาเมื่อท่านหายจากอาการป่วยท่านจึงไปขอพระครูสำรวย อุปสมบทอีกครั้ง ณ พัทธสีมา วัดพระเมรุราชิการามวรวิหาร โดย พระครูพุทธวิหารโสภณ (พระครูสำรวย) เป็นพระอุปปัชฌา ได้ฉายาว่า นิติสาโร และได้จำพรรษาอยู่ที่วัดพระเมรุราชิการามวรวิหาร ศึกษาพระธรรมวินัยเรื่อยมา ท่านสอบบาลีไวยากรณ์นักธรรมชั้นเอกได้ ท่านยังมีชื่อเสียงในการสวดปาฏิโมกข์ สามารถสวดได้แม่นยำและคล่องแคล่ว ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรมและความรู้ทางเวทมนต์คาถากับพระครูพุทธวิหารโสภณ (พระครูสำรวย) พระครูพุทธวิหารโสภณ (พระครูสนธ์) และคาดว่าท่านเป็นศิษย์น้องของหลวงพ่ออินทร์ วัดเกาะหงส์ และหลวงพ่อแช่ม พระครูนิพัทธ ธรรมศาสน์ วัดโกรกพระใต้ อีกด้วย แต่หลวงพ่อท่านจะไปศึกษาเพิ่มเติมกับสำนักของพระเกจิอาจารย์ท่านใดอีกบ้างยังไม่ทราบได้ ต่อมาตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดดงชะพลูว่าง ทางชาวบ้านจึงได้เชิญหลวงพ่อท่านมาจำพรรษาที่วัดดงชะพลู และเป็นพระคู่สวดคู่กับพระครูนิพัทธ ธรรมศาสน์ หลวงพ่อแช่ม เรื่อยมา
ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดดงชะพลู ได้รับแต่งตั้งเป้นพระสมุห์ พระอุปปัชฌา เจ้าคณะตำบลบางมะฝ่อ และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูนิติสารโสภณ เมื่อ พ.ศ.2519 ตามลำดับเลื่อยมา
หลวงพ่อท่านเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่งที่มีวินัยเคร่งครัด เป็นที่เครารพนับถือของชาวบ้านเป็นอย่างมาก ชาวบ้านได้ยกย่องท่านเป็น 1 ใน 3 เกจิตำบลบางมะฝ่อ เป็นที่รู้กันของชาวบ้านดงชะพลูและบรรดาลูกศิษย์ ว่าหลวงพ่อท่านวาจาสิทธิ์ พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น ชาวบ้านดงชะพลูและบรรดาลูกศิษย์ต่างพากันกลัวคำตำหนิของหลวงพ่อ เพราะผู้ที่ถูกตำหนิทุกรายล้วนแต่พบความวิบัติ คนส่วนมากจึงหวังที่จะได้รับคำอวยพร เท่าที่ทราบมาหลวงพ่อท่านมีวิชา สะกดตีนโลง เคยใช้ปราบผีตายท้องกลมที่มารบกวนชาวบ้านในสมัยก่อน เป็นที่เรื่องลือของชาวบ้านดงชะพลูและละแวกใกล้เคียง
พระเครื่องพระบูชาของหลวงพ่อที่ท่านสร้างขึ้นนั้น จริง ๆ แล้วหลวงพ่อท่านไม่นิยมที่จะสร้างวัตถุมงคล ท่านไม่ชอบ ท่านไม่ยกย่องตนเองว่าเป็นเกจิ แต่ด้วยสมัยก่อนทางวัดไม่มีเงิน จึงเกิดความจำเป็นที่จะต้องนำเงินมาสร้างและพัฒนาวัด ชาวบ้านจึงร้องขอให้หลวงพ่อทำวัตถุมงคลจำหน่ายและ แจกตอนมีงานทอดกฐิน ผ้าป่า จึงเห็นได้ว่าวัตถุมงคลของท่าน จะออกไม่กี่รุ่น วัตถุมงคลทุกรุ่น หลวงพ่อท่านจะปลุกเสกของท่านคนเดียว ซึ่งพระเครื่องพระบูชาของหลวงพ่อ เป็นที่ต้องการของลูกหลานชาวบ้าน และบรรดาลูกศิษย์ ปรากฏประสบการณ์แคล้วคลาดแล้วหลายครั้ง หลวงพ่อท่านมักจะบอกกับลูกหลานที่มากราบขอวัตถุมงคลหลวงพ่อติดตลกว่า “กูให้เป็นที่ระลึกเฉย ๆนะ กูไม่ได้ให้ไว้เหนียว คนเรามันหนีความตายไม่พ้นหลอก” จากประสบการณ์ที่ฟังลูกหลานหลวงพ่อหลาย ๆ ท่านมาท่านบอกว่ามีหลวงพ่อห้อยไว้แคล้วคลาดปลอดภัย
หลวงพ่อบุญรอด พระครูนิติสารโสภณ ท่านมรณภาพ เมื่อ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2546 ก่อนหน้าหลวงพ่อท่านรู้ตัวว่าท่านจะจากไปแล้ว ท่านยังเคยพูดไว้กับพระลูกวัดขณะนั่งฉันข้าวว่า หลวงพี่อินทร์จะมารับแล้ว ก่อนมรณภาพหลวงพ่อท่านได้ให้คาถาบทหนึ่งกับ พี่น้องและบรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดไว้หนึ่งบท แต่หลวงพ่อท่านย้ำว่าคาถานี้แรงห้ามใช้ท่องเล่น (ขอไม่นำเสนอคาถาบทนี้) ให้ใช้เวลาจวนตัวเท่านั้น และได้บอกกับพี่น้องของท่านว่า ถ้าท่านเสียแล้ว ท่านไม่อยากให้นำสรีระสังขารของหลวงพ่อใส่ในโลงแก้ว ท่านบอกว่าให้นำสรีระสังขารของท่านกลับมาบำเพ็ญกุศลที่วัด ให้ชาวบ้าน บรรดาลูกศิษย์มากกราบให้ครบก่อน แล้วให้ขอพระราชทานเพลิงศพต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก
นายสมพงษ์ กุลฉิม
นางจำนงค์ ภู่ทองคำ
นายสละ เขียวสอาด
คุณ ฐิติพันธ์ น้อยเอี่ยม
บรรดาลูกศิษย์ และ ลูกหลาน