ปิดตา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร วัดศุกร์ที่ 21 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 จ.ศ. 1351 เนื้อผงใบลาน หลังยันต์ดวง พิมพ์จัมโบ้ ปี 2532

ปิดตา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร วัดศุกร์ที่ 21 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 จ.ศ. 1351 เนื้อผงใบลาน หลังยันต์ดวง พิมพ์จัมโบ้ ปี 2532
ปิดตา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร วัดศุกร์ที่ 21 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 จ.ศ. 1351 เนื้อผงใบลาน หลังยันต์ดวง พิมพ์จัมโบ้ ปี 2532ปิดตา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร วัดศุกร์ที่ 21 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 จ.ศ. 1351 เนื้อผงใบลาน หลังยันต์ดวง พิมพ์จัมโบ้ ปี 2532
รหัสสินค้า PITBW3201
หมวดหมู่ พระปิดตา มหาอุตต์
ราคา 1,250.00 บาท
สถานะสินค้า พร้อมส่ง
ลงสินค้า 7 ก.ค. 2566
อัพเดทล่าสุด 10 พ.ย. 2568
จำนวน
องค์
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay
พระประวัติสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19
พระประวัติสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 (ฉบับปรับปรุง) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) ผู้เรียบเรียงนายประสาร ธาราพรรค์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ทรงด ารงต าแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2532 ในรัช สมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ถือเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชันษามากกว่าสมเด็จ พระสังฆราชทุกพระองค์ในอดีตและเป็นพระสังฆราชพระองค์แรกของไทยที่ มีพระชันษา 100 ปี พระองค์จากเด็กก าพร้า จังหวัด กาญจนบุรี บรรพชา เป็นสามเณรเพื่อแก้บน สู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ก่อนอุทิศทั้งชีวิตเพื่อ พระศาสนา


พระประวัติ ขณะทรงพระเยาว์ นายน้อย คชวัตร พระชนก นางกิมน้อย คชวัตร พระชนนี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณา ยก ประสูติเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 4 ค่ า เดือน 11 ปีฉลู จุลศักราช 1275 ตรงกับ วันที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2456 (รัตนโกสินทรศก 132) เวลาประมาณ 10 ทุ่ม เศษ (หรือเวลาประมาณ 04.00 นาฬิกาเศษ วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พุทธศักราช 2456 ตามที่นับแบบปัจจุบัน) ณ บ้านวัดเหนือ ต าบลบ้านเหนือ อ าเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 2456 พระชนกาชื่อน้อย คชวัตร และพระชนนี ชื่อ กิมน้อย คชวัตร ทรงเป็นบุตรคนที่ 1 ในจ านวนบุตรชาย 3 คน พระองค์มี น้องชาย 2 คน ได้แก่ นายจ าเนียร คชวัตร และนายสมุทร คชวัตร พระชนก ของพระองค์ป่วยเป็นโรคเนื้องอกและเสียชีวิตไปตั้งแต่พระองค์ยังเล็ก


หลังจากนั้น พระองค์ได้มาอยู่ในความดูแลของนางกิมเฮ้ง หรือกิมเฮงซึ่งเป็น พี่สาวของพระชนนีกิมน้อยที่ได้ขอพระองค์มาเลี้ยงดูและนางกิมเฮ้งจึงตั้งชื่อ หลานชายผู้นี้ว่า "เจริญ" วัดเทวสังฆาราม เมื่อพระชันษาได้ 8 ปี ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนประชาบาล วัดเทวสังฆา ราม จนจบชั้นประถม 5 (เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2 ในปัจจุบัน) และโรงเรียนในครั้งนั้นก็คือศาลาวัดนั่นเอง ทรงเรียนจนจบชั้นสูงสุด พ.ศ. 2468 ในขณะที่มีพระชันษา 12 ปี หลังจากนั้น ทรงไม่รู้ว่าจะ เรียนอะไรต่อและไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหน ทรงเล่าว่า "เมื่อเยาว์วัยมีพระ อัธยาศัยค่อนข้างขลาด กลัวต่อคนแปลกหน้า และค่อนข้างจะเป็นคนติดป้า ที่อยู่ ใกล้ชิดกันมาแต่ทรงพระเยาว์โดยไม่เคยแยกจากกันเลย" จึงท าให้ พระองค์ไม่กล้าตัดสินพระทัยไปเรียนต่อที่อื่น


ทรงบรรพชา สามเณรสุวัฑฺฒโน เมื่อทรงพระเยาว์ก่อนที่จะทรงบรรพชาเป็นสามเณรนั้น คนภายนอก มักจะเห็นว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงมีร่างกายอ่อนแอ ขี้อาย เจ็บป่วยอยู่ เสมอ โดยมีอยู่คราวหนึ่งที่ทรงป่วยหนักจนญาติ ๆ ต่างพากันคิดว่าคงไม่รอด แล้วและได้บนไว้ว่า ถ้าหายป่วยจะให้บวชเพื่อแก้บน แต่เมื่อหายป่วยแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ได้บวช จนกระทั่งเรียนจบชั้นประถม 5 แล้ว พระองค์จึงได้ ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อแก้บนในปี พ.ศ. 2469 ขณะมีพระชันษาได้ 14 ปี ที่วัดเทวสังฆาราม โดยมีพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทฺธโชติ) เจ้าอาวาสวัด เทวสังฆาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระครูนิวิฐสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณ โชติ) เจ้าอาวาสวัดศรีอุปลาราม เป็นพระอาจารย์ให้สรณะและศีล


วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม ภายหลังบรรพชาแล้วได้จ าพรรษาอยู่ที่วัดเทวสังฆาราม 1 พรรษา และ ได้มาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม หลังจากนั้น พระเทพ มงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) พระอุปัชฌาย์ได้พาพระองค์ไปยังวัดบวรนิเวศราช วรวิหาร และน าพระองค์ขึ้นเฝ้าถวายตัวต่อสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร (ต่อมาคือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง วชิรญาณวงศ์) เพื่ออยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมในส านักวัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงได้รับประทานนามฉายาจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง วชิรญาณวงศ์ ว่า “สุวฑฺฒโน” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เจริญดี” พระองค์ทรง สอบได้นักธรรมชั้นตรีได้เมื่อ พ.ศ. 2472 และทรงสอบได้นักธรรมชั้นโทและ เปรียญธรรม 3 ประโยค ในปี พ.ศ. 2473


ทรงอุปสมบท เมื่อครั้งทรงเป็นพระเปรียญ เมื่อพระชนมายุครบอุปสมบท สมเด็จพระสังฆราชทรงเดินทางกลับไป อุปสมบทที่วัดเทวสังฆาราม เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2476 จากนั้น ทรงเดินทางเข้ามาจ าพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร ก่อนจะเข้าพิธีอุปสมบทซ้ า เป็นธรรมยุติกนิกาย โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่างมากในการสอบเปรียญธรรม 4 ประโยค แต่ผลปรากฏว่าทรงสอบตก ท าให้ทรงรู้สึกท้อแท้และคิดว่า "คงจะหมด วาสนาในทางพระศาสนาเสียแล้ว" แต่เมื่อทรงคิดทบทวนและไตร่ตรองดูว่า ท าไมจึงสอบตก ก็ทรงตระหนักได้ว่าเหตุแห่งการสอบตกนั้นเกิดจากความ


ประมาทโดยแท้ กล่าวคือ ทรงท าข้อสอบโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบด้วย ส าคัญผิดว่าตนรู้ดีแล้ว ทั้งยังมุ่งอ่านเฉพาะเนื้อหาที่เก็งว่าจะออกเป็นข้อสอบ เท่านั้น ซึ่งพระองค์ทรงพบว่าเป็นวิธีการเรียนที่ไม่ถูกต้องเพราะไม่ท าให้เกิด ความรู้อย่างแท้จริง จึงเป็นสาเหตุที่ท าให้พระองค์สอบตก เมื่อพระองค์ทรง ตระหนักได้ดังนี้แล้วจึงทรงเปลี่ยนมาใช้วิธีเรียนแบบสม่ าเสมอและทั่วถึง พระองค์จึงสอบได้ทั้งนักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 4 ประโยค ในปี พ.ศ. 2475 พระเทพมงคลรังษี


หลังจากนั้น พระองค์ทรงกลับไปสอนพระปริยัติธรรมที่โรงเรียนเทวา นุกูล วัดเทวสังฆาราม เพื่อสนองพระคุณพระเทพมงคลรังษีเป็นเวลา 1 พรรษา แล้วจึงทรงกลับมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารเพื่อทรงศึกษาพระปริยัติ ธรรมต่อไป โดยทรงสอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค โดยในระหว่างที่ทรงอยู่ วัดบวรนิเวศวิหารนั้น พระองค์ก็ยังคงกลับไปช่วยสอนพระปริยัติธรรมที่วัด เทวสังฆารามอยู่เสมอ พระองค์ยังทรงศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ในปี พ.ศ. 2484 พระกรณียกิจ การปฏิบัติหน้าที่ด้านคณะสงฆ์ เมื่อครั้งทรงด ารงสมณศักดิ์สมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร (พระรูปฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)


หลังจากที่พระองค์สอบได้เปรียญธรรม 9 แล้ว พระองค์ทรงเริ่มงานอัน เกี่ยวเนื่องกับคณะสงฆ์อีกมากมาย ซึ่งนอกเหนือจากเป็นครูสอนพระปริยัติ ธรรมแล้ว พระองค์ยังเป็นผู้อ านวยการศึกษาส านักเรียนวัดบวรนิเวศวิหารซึ่ง มีหน้าที่จัดการศึกษาของภิกษุสามเณรทั้งแผนกธรรมและแผนกบาลี รวมทั้ง ทรงเป็นสมาชิกสังฆสภาโดยต าแหน่งในฐานะเป็นพระเปรียญ 9 ประโยค ต่อมา เมื่อมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยสมเด็จ พระสังฆราชทรงมีส่วนร่วมในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งแรกของไทยขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2488 ทรงเป็นพระอาจารย์รุ่นแรก รวมถึงมีพระด าริส่งเสริมให้ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ขยายการศึกษาในระดับปริญญาโทและ ปริญญาเอก รวมทั้งประทานทุนการศึกษาแก่พระภิกษุให้ไปศึกษาต่อระดับ ปริญญาโทและปริญญาเอกในต่างประเทศ รวมทั้ง เป็นพระวินัยธรชั้น อุทธรณ์และรักษาการพระวินัยธรชั้นฎีกาในกาลต่อมา นอกจากนี้ ยังทรง เป็นเลขานุการในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์อีกด้วย


เมื่อครั้งทรงเป็น“พระอภิบาล”ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในระหว่างที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อมีพระชันษาได้ 34 ปี พระองค์ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่ พระโศภนคณาภรณ์ โดยพระองค์ได้รับเลือก จากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ให้เป็นพระอภิบาลของ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในระหว่างที่ผนวชเป็นพระภิกษุและเสด็จประทบ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อ ปี พ.ศ. 2499 ต่อมา ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นธรรม ที่ พระ ธรรมวราภรณ์ โดยราชทินนามทั้ง 2 ข้างต้นนั้นเป็นราชทินนามที่ตั้งขึ้นใหม่ ส าหรับพระราชทานแก่พระองค์เป็นรูปแรก


วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ในปี พ.ศ. 2504 พระองค์ได้รับต าแหน่งเป็นผู้รักษาการเจ้าคณะ ธรรมยุตภาคทุกภาคและเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร ในปี เดียวกันนี้เองพระองค์ได้รับการสถาปนาที่ พระสาสนโสภณ พระองค์เข้ารับ ต าแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 นอกจากนั้น ยังได้ทรง นิพนธ์ผลงานทางวิชาการ เอกสาร และต าราด้านพุทธศาสนาไว้มากมาย


ด้านการพระศาสนาในต่างประเทศ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เสด็จไปทรงปฏิบัติพระ ศาสนกิจและเยี่ยมเยือนพุทธศาสนิกชนในภาคต่าง ๆ เป็นประจ าทุกปี และ ด้วยทรงมีความเชี่ยวชาญในด้านภาษาเป็นอย่างดี ทั้งภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และสันสกฤต พระองค์จึงได้น าความรู้ด้านภาษามาใช้ ประโยชน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังนานาประเทศการด าเนินการ มาโดยล าดับ ดังนี้ วัดพุทธประทีป ณ กรุงลอนดอน พ.ศ. 2509 ในฐานะประธานกรรมการอ านวยการฝึกอบรมพระธรรม ทูตในต่างประเทศ ได้เสด็จไปเป็นประธานสงฆ์ ในพิธีเปิดวัดพุทธประทีป ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และดูกิจการพระธรรมทูตในประเทศอังกฤษ และอิตาลี พ.ศ. 2511 เสด็จไปดูการพระศาสนา วัฒนธรรม และการศึกษาใน ประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์ อันเป็นผลให้ต่อมาได้มีการ


วางแผนร่วมกับชาวพุทธอินโดนีเซีย ในอันที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาใน ประเทศนั้น และได้ส่งพระธรรมทูตชุดแรกไปยังอินโดนีเซีย เมื่อปี พ.ศ. 2512 ได้ส่งพระภิกษุจากวัดบวรนิเวศ ออกไปปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศ ออสเตรเลีย เมื่อปี พ.ศ. 2516, และตั้งส านักสงฆ์ในปี พ.ศ. 2518 พ.ศ. 2514 เสด็จไปดูการพระศาสนา และการศึกษาในประเทศเนปาล และอินเดีย ปากีสถาน ตะวันออก (บังคลาเทศ) ท าให้เกิดงานฟื้นฟู พระพุทธศาสนาในเนปาล พ.ศ. 2520 เสด็จไปบรรพชาชาวอินโดนีเซีย จ านวน 43 คน ที่เมือง สมารัง ตามค าอาราธนาของคณะสงฆ์เถรวาทอินโดนีเซีย ภายในพระอุโบสถ วัดจาการ์ต้าธรรมจักรชยะ ณ ประเทศอินโดนีเซีย


พ.ศ. 2528 ทรงเป็นประธานคณะสงฆ์ ไปประกอบพิธีผูกพัทธสีมา อุโบสถ วัดจาการ์ต้าธรรมจักรชยะ ณ ประเทศอินโดนีเซีย นับเป็นการ ผูกพันธสีมาอุโบสถวัดพระพุทธศาสนาเถรวาท เป็นครั้งแรกของประเทศ อินโดนีเซีย และในปีเดียวกันนี้ ได้เสด็จไปเป็นประธานบรรพชากุลบุตร ศากย แห่งเนปาล จ านวน 73 คน ณ กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จระสังฆราช และ พณฯ เจียง เจ๋อหมิน พ.ศ. 2536 เสด็จไปเจริญศาสนาสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน เป็นครั้งแรก ที่ประเทศจีน ตามค ากราบทูลอาราธนาของรัฐบาลจีน ในระหว่างสมเด็จ


พระญาณสังวร สมเด็จระสังฆราช การพบปะกับ ฯพณฯ เจียง เจ๋อหมิน ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ ต าหนักอิ๋งไถ ภายในท านีย บจงหนานไห่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหสังฆปริณา ยก ทรงมีพระปฏิสันถารกล่าวฝากพระพุทธศาสนาในประเทศจีนกับท่าน ประธานาธิบดีไว้ว่า “...และโดยที่พระพุทธศาสนานั้น ไม่ก่อให้เกิดความ เดือดร้อนและความเสื่อมแก่ประเทศไทยประเทศจีนและทั้งสองประเทศ จึง ขอฝากพระพุทธศาสนาแก่ท่านประธานาธิบดีให้การอุปถัมภ์พุทธศาสนาตาม สมควรด้วย...”นอกจากนั้น เมื่อ ทรงพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล รัฐมนตรี ตลอดจนผู้ว่าการมณฑลต่างๆ ก็มักจะทรงฝากฝังขอให้ช่วย อุปถัมภ์บ ารุงพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ กับทั้งขอโอกาสให้คณะสงฆ์ได้ สั่งสอนศีลธรรมแก่ประชาชน ตลอดจนช่วยสอดส่องดูแลคณะสงฆ์และ พุทธศาสนิกชนให้ประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในขอบเขตของพุทธธรรมและ กฎระเบียบของบ้านเมืองด้วยการเสด็จเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนในครั้ง นั้นก่อให้เกิดความตื่นตัวทางพระพุทธศาสนาแก่บุคคล ทั้งฝ่ายคณะสงฆ์ พุทธศาสนิกชน และผู้บริหารปกครองของจีนเป็นอันมาก เพราะเป็นครั้ง แรกของการเจริญศาสนสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างไทยกับจีน และ เป็นครั้งแรกที่ประชาชนจีนได้เห็นภาพของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาอย่าง เต็มตา และ “เป็นทางการ” กระทั่งภิกษุจีนบางรูปถึงกับออกปากว่า ไม่เคย คิดและไม่เคยพบเห็นมาก่อน ว่าพระสงฆ์จะได้รับการยกย่องเทิดทูนและ ได้รับความเคารพจากปวงชนถึงขนาดนี้


วัดไทยลุมพินี ณ ประเทศเนปาล พ.ศ. 2538 เสด็จไปเป็นประธาน วางศิลาฤกษ์วัดไทยลุมพินี ณ ประเทศเนปาล ซึ่งรัฐบาลไทยจัดสร้างถวายเป็นพุทธบูชา และเพื่อเฉลิมพระ เกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาส ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ด้านสาธารณูปการ ไ ด้ ท รง บู ร ณ ะ ซ่ อ ม ส ร้ าง เ ส น า ส น ะ แ ล ะ ถ า ว ร วั ต ถุ อั น เ ป็ น สาธารณประโยชน์เป็นจ านวนมาก กล่าวคือ


ปูชนียสถาน พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี ดอยแม่สลอง ได้แก่ มณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทจ าลอง พระเจดีย์ วัดบวรนิเวศ วิหาร พระบรมธาตุ พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี ดอย แม่สลอง


พระอาราม วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ได้แก่ วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อ าเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี วัดสันติคีรี ดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย วัดรัชดาภิเศก อ าเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี วัดล้านนาสังวราราม อ าเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ วัดพุมุด อ าเภอไทรโยค กาญจนบุรี นอกจากนั้นยังทรงอุปถัมภ์วัดไทยใน ต่างประเทศอีกหลายแห่งคือ วัดพุทธรังสี นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย วัด จาการ์ตาธรรมจักรชัย กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย วัดนครมณฑปศรี กีรติวิหาร เมืองกิรติปูร เนปาล


โรงเรียน โรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ยโสธร


โรงเรียนสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต กาญจนบุรี ได้แก่ โรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ยโสธร โรงเรียนสมเด็จพระปิย มหาราชรมณียเขต กาญจนบุรี


โรงพยาบาล ตึกวชิรญาณวงศ์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้แก่ การสร้างตึกวชิรญาณวงศ์ ตึกวชิรญาณสามัคคีพยาบาร และตึก ภปร. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลสมเด็จพระปิยมหาราชรมณีย เขต จังหวัดกาญจนบุรี, โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรี, และ โรงพยาบาลสกลมหาสังฆปรินายก เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์ แด่สมเด็จ พระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทุกพระองค์ รวม 19 แห่ง ได้เริ่มก่อสร้าง ไปแล้วหลายแห่ง


พระภารกิจ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จระสังฆราช พ.ศ. 2484 เป็นสมาชิกสังฆสภาโดยต าแหน่ง เป็นกรรมการสังคายนา พระธรรมวินัย และเป็นผู้อ านวยการศึกษาส านักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ. 2489 เป็นพระวินัยธรชั้นอุทธรณ์ และเป็นกรรมการสภา การศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. 2493 เป็นกรรมการเถรสมาคม คณะธรรมยุต ประเภทชั่วคราว พ.ศ. 2494 เป็นกรรมการอ านวยการมหามงกุฎราชวิทยาลัย และเป็น กรรมการแผนกต าราของมหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. 2496 เป็นกรรมการตรวจช าระ คัมภีร์ฎีกา พ.ศ. 2497 เป็นกรรมการเถรสมาคมคณะธรรมยุตประเภทถาวร


สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จระสังฆราชพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พ.ศ. 2499 เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระภิกษุ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ระหว่างที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชา คณะชั้นธรรม ที่พระธรรมวราภรณ์ และรักษาการวินัยธรชั้นฎีกา พ.ศ. 2501 เป็นกรรมการคณะธรรมยุติ และเป็นกรรมการมูลนิธิ ส่งเสริมกิจการพระศาสนา และมนุษยธรรม (ก.ศ.ม.) พ.ศ. 2503 เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การปกครองสั่งการองค์การ ปกครองฝ่ายธรรมยุติ


วัดบวนนิเวศราชวรมหาวิหาร พ.ศ. 2504 เป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นผู้อ านวยการ มหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นประธานกรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราช วิทยาลัย เป็นผู้รักษาการณ์เจ้าคณะธรรมยุตภาคทุกภาค และเป็นพระ อุปัชฌาย์ พ.ศ. 2506 เป็นกรรมการเถรสมาคม ซึ่งเป็นกรรมการชุดแรก ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 พ.ศ. 2515 เป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานครและสมุทรปราการ และ ได้รับโปรดเกล้า ฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ "สมเด็จพระญาณ สังวร" สมเด็จพระราชาคณะในพระราชทินนามนี้ มีขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ เป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระพระอาจารย์สุก วัดท่าหอย พระนครศรีอยุธยา ได้รับพระราชทานสมศักดิ์นี้เป็นองค์แรก และต่อมาก็มิได้พระราชทานสมณศักดิ์นี้แก่พระเถระรูปใดอีกเลย


เมื่อครั้งทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฏราชกุมาร ในการทรงผนวช และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ. 2521 เป็น พระราชกรรมวาจาจารย์ ของพระภิกษุ สมเด็จพระ บรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯ สยามกุฏราชกุมาร เมื่อครั้งเสด็จ ออกทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ณ พระอุโบสถวัดพระ ศรีรัตนศาสดาราม และเป็นพระอาจารย์ถวายการอบรมพระธรรม วินัย ขณะที่พระภิกษุสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯ สยามกุฏราชกุมาร เสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ในระหว่างวันจันทร์ที่ 6 ถึง วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 พ.ศ. 2528 เป็นรองประธานกรรมการสังคีติการสงฆ์ ในการสังคายนา พระธรรมวินัย ตรวจช าระพระไตรปิฎก และเป็นสังฆปาโมกข์ปาลิวิโสธกะ พระวินัยปิฎก


พ.ศ. 2531 รักษาการเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เป็นนายกกรรมการมหาม กุฏราชวิทยาลัย และเป็นนายกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย ล าดับสมณศักดิ์ เมื่อครั้งทรงเป็นพระราชาคณะที่พระโศภณคณาภรณ์ พ.ศ. 2490 ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระโศภณคณาภรณ์ และเป็นกรรมการมหาวิทยาลัยมหามกุฏราช วิทยาลัย


พ.ศ. 2495 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้น ราช ในพระราชทินนามเดิม พ.ศ. 2498 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้น เทพ ในพระราชทินนามเดิม พ.ศ. 2499 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้น ธรรม ที่ พระธรรมวราภรณ์ พ.ศ. 2504 ได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ เจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ที่ พระสาสนโสภณ พ.ศ. 2515 ได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชา คณะ ชั้นสุพรรณบัฏ ที่ สมเด็จพระญาณสังวร ซึ่งเป็นราชทินนามที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้ตั้งขึ้นใหม่ส าหรับ พระราชทานสถาปนาสมเด็จพระอริยวงษญาณ (สุก ญาณสังวร) พระราชา คณะฝ่ายวิปัสสนาธุระเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2359 ต าแหน่งสมเด็จ พระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร จึงเป็นต าแหน่งพิเศษที่โปรด พระราชทานสถาปนาแก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระเท่านั้น


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จไปถวายน้ าพระมหาสังข์ทักษิณาวัตร ในวันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ สมเด็จ พระสังฆราชในขณะนั้นสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2531 ท าให้ต าแหน่งสมเด็จ พระสังฆราชว่างลง พ.ศ. 2532 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรม นาถบพิตรจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในราชทินนามเดิมคือ สมเด็จ พระญาณสังวร ซึ่งราชทินนามดังกล่าวนับเป็นราชทินนามพิเศษ กล่าวคือ สมเด็จพระสังฆราชที่มิได้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์นั้น โดยปกติจะใช้ราชทิน


นามว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ บางพระองค์ ครั้งนี้จึงนับเป็นอีกหนึ่ง ครั้งมีการใช้ราชทินนาม สมเด็จพระญาณสังวร ส าหรับสมเด็จพระสังฆราช เพื่อเป็นการยกย่องพระเกียรติคุณทางวิปัสสนาธุระของพระองค์ให้เป็นที่ ประจักษ์ มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริศรธรรมนีติภิบาล อริยวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกปริยัตติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ สุวัฑฒนภิธานสงฆวิสุต ปาวจนุต ตมพิสาร สุขุมธรรมวิธานธ ารง วชิรญาณวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร บวรธรรมบพิตร สรรพคณิ ศรมหาปธานาธิบดี คามวาสีอรัณยวาสี สมเด็จพระสังฆราช ตราอักษรย่อพระนาม ญสส.


พระเกียรติยศ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช หลังจากพระองค์ท่านได้รับการโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จ พระสังฆราช องค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ก็ปฏิบัติพระกรณีย กิจเพื่อการศาสนาและสาธารณประโยชน์มาโดยตลอดทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ ท าให้ในปี พ.ศ. 2555 ผู้น าชาวพุทธโลกจาก 32 ประเทศที่เข้า ร่วมประชุมสุดยอดพุทธศาสนิกชนแห่งโลก ณ ประเทศญี่ปุ่น ได้ทูลถวาย ต าแหน่ง "ผู้น าคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา" ในฐานะที่ทรงได้รับ การเคารพอย่างสูงสุด นับเป็นการมอบต าแหน่งนี้เป็นครั้งแรกของโลก รวมทั้งทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกแห่งประเทศไทย


ผู้ทรงเผยแผ่พระธรรมค าสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทุก คนปฏิบัติตั้งอยู่ธรรมะน าไปสู่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองนับเป็น แบบอย่างของสากลโลก สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จระสังฆราช พระองค์ได้รับการถวายปริญญา กิตติมศักดิ์จากสถาบันการศึกษา ดังต่อไปนี้ พ.ศ. 2529: ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัย รามค าแหง


พ .ศ. 2 5 3 2: อั ก ษ ร ศ า ส ต ร ดุ ษ ฎี บั ณ ฑิ ต กิ ต ติ ม ศั ก ดิ์ จ า ก มหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. 2533: พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2537: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญาและ ศาสนา จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2538: การศึกษาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. 2539: ศิลปศ าสต รดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จ าก มหาวิทยาลัยศรีนคริน ทรวิโรฒ


พ.ศ. 2540: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาภาษาไทย จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. 2543: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาปรัชญาและ ศาสนา จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2545: ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาไทศึกษา จาก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ. 2547: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหาร การศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี พ.ศ. 2548: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหาร การศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม พ.ศ. 2554: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหาร การศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต พ.ศ. 2556: ศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพุทธศาสน์ ศึกษา จากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย


พระนิพนธ์ ทรงนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ไว้เป็นอันมาก ทั้งที่เป็นต ารา พระธรรมเทศนา และทั่วไป พอประมวลได้ดังนี้ ประเภทต ารา ทรงเรียบเรียง วากยสัมพันธ์ ภาค 1-2 ส าหรับใช้เป็นหนังสือประกอบ การศึกษาของ นักเรียนบาลี และทรงอ านวยการจัดท าปทานุกรม บาลี ไทย อังกฤษ สันสกฤต ฉบับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ฯลฯ


ประเภทพระธรรมเทศนา มีอยู่เป็นจ านวนมาก เท่าที่พิมพ์เป็นเล่มแล้วเช่น ปัญจคุณ 5 กัณฑ์ ทศพลญาณ 10 กัณฑ์ มงคลเทศนา โอวาท ปาฏิโมกข์ 3 กัณฑ์ สังฆคุณ 9 กัณฑ์ ฯลฯ ประเภทงานแปลเป็นภาษาต่างประเทศ ทรงริเริ่มและด าเนินการให้แปล ต าราทางพุทธศาสนา จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อใช้ในการศึกษา พระพุทธศาสนา เช่น นวโกวาท วินัยมุข พุทธประวัติ ภิกขุปาติโมกข์ อุปสมบทวิธี ท าวัตร สวดมนต์ ฯลฯ


ประเภททั่วไป มีอยู่เป็นจ านวนมาก เช่น การนับถือพระพุทธศาสนา หลักพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าของเรา นั้นท่านล้ าเลิศ45 พรรษาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสั่งสอนอะไร (ไทยอังกฤษ) แนวปฏิบัติในสติปัฎฐาน พระพุทธศาสนากับสังคมไทย วิธีปฏิบัติตนให้ถูกต้องทางธรรมะ บัณฑิตกับโลกธรรม เรื่องกรรม ศีล (ไทย-อังกฤษ) อาหุเณยโย อวิชชา หลักธรรมส าหรับ การปฏิบัติอบรมจิต การบริหารจิตส าหรับผู้ใหญ่ สันโดษ แนวความเชื่อ บวชดี บุพการี- กตัญญูกตเวที ค ากลอนนิราศสังขาร ต านานวัดบวรนิเวศ วิธีสร้างบุญบารมี ความ ซับซ้อนของกรรม ฯลฯ


100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประสูติเมื่อเวลาราว 4 นาฬิกาหรือตีสี่ วันศุกร์ขึ้น 4 ค่ า เดือน 11 ปีฉลู ตรง กับวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2456 วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556 วันนี้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกได้เจริญพระชันษาครบ 100 ปี จึงเป็น วโรกาสอันเป็นมงคลที่พุทธศาสนิกชนคนไทยจะได้พร้อมใจกันถวายพระพร ให้ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง เจริญพระชนม์ชีพเพื่อเป็นมิ่งขวัญและเป็น เสาหลักของบวรพุทธศาสนาสืบไปตราบนานเท่านาน....ทีฆายุโก โหตุ สังฆ ราชา ทีฆายุโก โหตุ พระสังฆบิดร


สิ้นพระชนม์ พระโกศกุดั่นใหญ่ประกอบพระอิสริยยศพระศพ ณ พระต าหนักเพ็ชร วัด บวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2556 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 เรื่อง พระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณ สังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ โดยคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาได้รายงานว่า พระอาการทรงมีความดันโลหิตต่ า เนื่องมาจากการติดเชื้อในกระแสพระ โลหิต ทั้งนี้ยังตรวจพบว่าพระอันตะ (ล าไส้ใหญ่) และพระอันตคุณ (ล าไส้ เล็ก) ขาดพระโลหิตและมีแผลติดเชื้อ จึงถวายการรักษาด้วยการผ่าตัดพระ อันตะและพระอันตค ุณบางส ่วนออก ภายหลังการผ ่าตัดปรากฏว ่า


พระอาการโดยรวมดีขึ้น จากนั้นก็มีแถลงการณ์ของทาง รพ. เกี่ยวกับพระ อาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราชออกมาให้ประชาชนติดตามเรื่อยๆ เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันที่ 24 ตุลาคม 2556 คณะแพทย์ผู้ถวาย การรักษารายงานว่า สมเด็จพระสังฆราชฯ มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ระดับความดันพระโลหิต อยู่ในเกณฑ์ต่ าลง คณะแพทย์ยังคงถวายพระโอสถ และตรวจรักษาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19:30 นาฬิกา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต มีการเคลื่อน พระศพจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มายังต าหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร


เมื่อวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12:15 นาฬิกา ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังด ารงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหา วชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชด าเนินแทนพระองค์ไปทรง สรงน้ าพระศพในวันเดียวกัน เวลา 17:00 น. ทรงพระกรุณาโปรดถวายพระ โกศกุดั่นใหญ่ทรงพระศพแทนพระโกศกุดั่นน้อย ประดิษฐานภายใต้ เศวตฉัตรสามชั้น แวดล้อมด้วยเครื่องประกอบพระเกียรติยศ ณ ต า หนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร และให้มีพิธีสวดพระอภิธรรมพระศพเจ็ดวัน ริ้วขบวนเคลื่อนพระศพ 'พระสังฆราชฯ'


การนี้พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถ บพิตรได้พระราชทานเลื่อนชั้นยศพระโกศจากพระโกศกุดั่นน้อยเป็นพระโกศ กุดั่นใหญ่ตั้งแต่วันแรกที่สิ้นพระชนม์ ครั้นถึงวาระพระราชทานเพลิงพระศพ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรจึงทรง พระกรุณาโปรดถวายพระโกศทองน้อยทรงพระศพและให้เจ้าพนักงานจัด ฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้นกางกั้นพระโกศ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระ ศพระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ซึ่งถือเป็นกรณีพิเศษเพราะยัง ไม่เคยปรากฏการพระราชทานเลื่อนพระโกศถึงสองครั้งมาก่อน โดยพระโกศ กุดั่นน้อย เป็นพระโกศล าดับที่ 6 ใช้กับ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า เจ้าจอม เจ้านายทรงกรม ผู้ส าเร็จราชการ ผู้ได้รับตรานพรัตนราชวราภรณ์ พระโกศกุดั่นใหญ่ เป็นพระโกศล าดับที่ 5 ใช้กับ สมเด็จพระสังฆราชฯ ส่วน พระโกศทองน้อย เป็นพระโกศล าดับที่ 4 ใช้กับ สมเด็จเจ้าฟ้า พระวรราช เทวี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า สมเด็จพระนางเจ้า พระวรราช ชายา


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรด กระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระ ราชด าเนินแทนพระองค์ พร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี , พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทิ นัดดามาตุ , พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลาน เธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ไปในการพระราชพิธีพระราชทานเพลิง พระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (จริง) ณ พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส ในการนี้ทรงทอดผ้าไตร 10 ไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ แล้วทรงหยิบธูปเทียนดอกไม้จันทน์ ทรงจุดไฟที่ชนวน พระราชทานเพลิงพระศพ แล้วทรงวางธูปเทียนดอกไม้จันทน์ ของสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และของส่วนพระองค์ จากนั้นผู้ปฏิบัติ


หน้าที่สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ ข้าราชการ ทหาร พลเรือน ขึ้นถวายพระเพลิง ตามล าดับ ต่อมา เมื่อเวลา 22 นาฬิกา 39 นาที เสด็จพระราชด าเนินแทนพระองค์ไปยังพระเมรุ วัดเทพศิรินทรา วาส พร้อมด้วยพระบรมวงศ์ ไปทรงทอดผ้าไตรกองฟอน 3 ไตร พระสงฆ์ สดับปกรณ์ แล้วเสด็จพระราชด าเนินกลับ ส าหรับพระอัฐิของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกล มหาสังฆปริณายก ได้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกประดิษฐาน ณ พระ ต าหนักเดิม ซึ่งเป็นสถานที่เก็บพระอัฐิของเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารทุก รูป ส่วนที่สองประดิษฐานที่วัดเทวสังฆาราม จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นวัดที่ พระองค์ทรงผนวชและส่วนที่สามประดิษฐานที่วัดญาณสังวราราม จังหวัด ชลบุรี ซึ่งเป็นวัดที่พระองค์สร้างขึ้น ส่วนพระสรีรางคารประดิษฐานที่พระ วิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศวิหาร ในปี พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้า


เจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาพระอัฐิของสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒ โน) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในฐานะพระราช กรรมวาจาจารย์เมื่อครั้งทรงผนวช ขึ้นเป็น "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรม หลวงวชิรญาณสังวร" ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ เจ้าพนักงานจัดฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น ถวายกางกั้นพระรูปบรรจุพระ สรีรางคาร ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรด กระหม่อมให้แบ่งพระอัฐิบรรจุลงพระโกศทองค า เชิญมาประดิษฐานในหอ พระนาก วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

วิธีการชำระเงิน

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาปตท.ถนนกาญจนาภิเษก 2 ออมทรัพย์

JEWELRY-ANTIQUE-AMULET

ระบบสมาชิก

สถิติร้านค้า

หน้าที่เข้าชม4,686,267 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด3,622,565 ครั้ง
เปิดร้าน4 ก.พ. 2558
ร้านค้าอัพเดท14 ธ.ค. 2568

ติดต่อเรา

ติดตามสินค้า

พูดคุย-สอบถาม