หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย มีพระพุทธลักษณะงดงามมาก หล่อด้วยทองสีสุก หรือที่เราเรียกกันว่าทองลูกบวบ สีสดใส มีขนาดหน้าตักกว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว สูงจากพระชงฆ์เบื้องล่างถึงยอดพระรัศมี (เกตุ) 4 คืบ 1 นิ้ว ปัจจุบันได้ประดิษฐานอยู่ ณ พระ อุโบสถวัดโพธิ์ชัย อําเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
การหล่อมีประวัติน่าอัศจรรย์มาก ตามประวัติกล่าวไว้ว่า ประวัติการหล่อเชื่อแน่ว่าเป็น พระพุทธรูปหล่อสมัยล้านช้าง ในอดีตเมื่อครั้งอาณาจักรล้านช้างมีความเจริญรุ่งเรืองมากพระพุทธศาสนาในแคว้นล้านช้าง ก็เจริญรุ่งเรืองด้วยพระมหากษัตริย์ ทรงใฝ่พระทัยยิ่งต่อพระพุทธศาสนา (เราจักมองเห็นภาพความเจริญในอดีตได้จากการหล่อสร้าง ว่ามีความสวยสดงดงามเพียงใด)
อนึ่ง พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรม พระยาดํารงเดชานุภาพ ทรงลงความเห็นไว้ในหนังสือตํานานพุทธเจดีย์ ว่า “พระพุทธรูปล้านช้างที่งดงามยิ่งกว่าองค์อื่นคือ พระเสริม อยู่ในวิหาร วัดปทุมวนาราม”
ดังนั้นจึงเชื่อได้อย่างแน่นอนว่า พระใสก็คือพระพุทธรูปในสมัยแคว้นล้านช้างที่กําลังเจริญรุ่งเรือง เพราะพระพุทธรูป 3 องค์ ซึ่งมี พระสุก พระเสริม พระใส นั้นหล่อในคราวเดียวกัน
ตํานานพระใส
จากประวัติโบราณแห่งวงศ์กษัตริย์แคว้นล้านช้าง พระเจ้าแผ่นดิน มีพระราชธิดาผู้เลอโฉมถึง 3 พระองค์ “พระราชธิดาทั้งสามพระองค์นั้น ก็ล้วนทรงเป็นเจ้าศรัทธาอันยึดมั่นต่อคุณงามความดีมาโดยตลอด โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา พระธิดาทั้งสาม ในตํานานเพียงแต่กล่าวไว้โดยย่อว่า พระธิดาสุก คือพระพี่นางองค์ใหญ่ พระธิดาเสริม คือองค์กลาง และพระธิดาใส คือพระองค์น้องสุดท้อง
ความที่พระราชธิดาทั้งสามเป็นเจ้าศรัทธา เป็นที่รักของปวงประชาทั้งหลาย จึงทรงตั้งพระทัยว่า ควรสร้างพระพุทธรูปประจําองค์ไว้สักการบูชา จึงเสด็จไปขอพรจากพระบิดาและพระบิดาเห็นชอบจึงทรงประทานพร ทั้งยังให้ช่างหลวงหล่อพระพุทธรูป 3 องค์พร้อมๆ กัน
ในประวัติกล่าวไว้ว่า มีเทวดาคือมนุษย์ผู้ทรงศีลทรงธรรม นุ่งขาวห่มขาวมาช่วยทําการหล่อจึงสําเร็จ การหล่อต้องสูบเตาหลอมทอง ถึง 8 วัน จึงจะแล้วเสร็จ และเมื่อทําการหล่อเสร็จแล้วจึงขนานพระนาม ตามลําดับว่า
1. หลวงพ่อพระสุก (ประจํา องค์พี่ใหญ่)
2. หลวงพ่อพระเสริม (ประจํา องค์กลาง)
3. หลวงพ่อพระใส (ประจําองค์ สุดท้อง)
ลักษณะพิเศษของหลวงพ่อพระใส จะมีห่วงกลมๆ อยู่ 3 ห่วง สําหรับเป็นที่ร้อยเชือก ติดอยู่กับพระแท่นขนาดนิ้วมือลอดได้
ในประวัติศาสตร์แคว้นล้านช้าง ได้จารึกไว้ว่า “พระสุก พระเสริม และพระใส พระพุทธรูปสําคัญของสามพระธิดานี้ แต่เดิมได้ประดิษฐานอยู่ ณ นครสําคัญๆ มานานแค่ไหนก็ไม่ปรากฏแต่ที่ระบุไว้ก็คือ พระพุทธรูปทั้งสามองค์ได้มาประดิษฐาน ณ นครเวียงจันทน์เป็นเวลาช้านานแล้ว
ต่อมาพระเจ้าธรรมเทวงษ์ พระมหากษัตริย์แห่งนครเวียงจันทน์ ได้อัญเชิญไปประดิษฐานเสียที่เมืองเชียงคําหรือเมืองตุลาคม เพราะในกาลนั้นเมืองเวียงจันทน์เกิดกลียุค ชาวประชาเดือดร้อนวุ่นวายมาก
จากนั้นหลังจากเมืองเวียงจันทน์ เปลี่ยนแปลงเจ้าผู้ครองนคร จะเป็นยุคใดไม่ปรากฏหลักฐาน ซึ่งในครั้งนั้นได้มีการอัญเชิญพระพุทธรูปสําคัญทั้ง 3 องค์ มาประดิษฐ์เสียที่นครเวียงจันทน์ อีกครั้ง”
ครั้นในปีพ.ศ.2321 เมื่อรัชกาลของพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงครองราชได้ 10 ปี ก็เกิดสงคราม ขึ้นระหว่างกรุงธนบุรีกับกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์)
ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จดํารงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้เป็นจอมพลยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ พระพุทธรูปทั้งสามพระองค์จึงถูกพาไปหลบซ่อนเสียในเมืองเชียงคําดังกล่าว นี่เป็นเหตุผลในการถูกย้ายหนี อยู่หลายครั้งหลายคราว ดังที่มีการจารึกไว้ในประวัติเมืองเวียงจันทน์
สู่เมืองสยาม
ยุคต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่ง ราชวงศ์จักรี ก็ปรากฏว่าเมืองเวียงจันทน์เกิดเป็นกบฏขึ้น ในสมัยของเจ้าอนุวงศ์ ตรงกับปี พ.ศ.2369 ปีจอ
เมื่อข้าศึกเกิดมีการแข็งข้อขึ้นมา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ต้องหาทางกําจัดปราบปรามเสีย โดยสั่งให้สมเด็จบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ ลงอย่างราบคาบ
หลังจากนั้นสมเด็จบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ ได้อัญเชิญพระพุทธรูปสําคัญ สามพี่น้องคือ พระสุก พระเสริม พระใส มาประดิษฐานเสีย ณ ฝั่งประเทศสยาม จากป่าภูเขาควาย เมืองเวียงจันทน์ มายังวัดโพธิ์ชัย เมืองหนองคาย (จังหวัดหนองคาย)
ข้อมูล108prageji