หลังจากที่พระพุทธโคตมได้ทรงตรัสรู้ พระพุทธองค์ได้แปรที่ประทับเพื่อเสวยวิมุตติสุขยังสถานที่ต่าง ๆ ในอาณาบริเวณที่ไม่ห่างจากต้นพระศรีมหาโพธิ์นักโดยประทับแต่ละที่สัปดาห์ละ 7 วัน และในสัปดาห์ที่ 6 ในขณะที่พระพุทธองค์ทรงประทับ ณ ใต้ต้นมุจลินท์ (ต้นจิกน้ำ) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาประทับอยู่ที่นี่ ได้บังเกิดมีฝนและลมหนาวตกพรำตลอดเจ็ดวันไม่ขาดสาย พญานาคได้ขึ้นจากสระน้ำที่อยู่ในบริเวณแห่งเดียวกันนี้ เข้าไปขนด 7 รอบ แล้วแผ่พังพานปกพระพุทธเจ้า เพื่อป้องกันลมฝนมิให้พัดและสาดกระเซ็นมาต้องพระวรกาย ครั้นฝนหาย ฟ้าสาง พญานาคจึงคลายขนดออก แล้วจำแลงเป็นเพศมาณพยืนเฝ้าพระพุทธเจ้าทางเบื้องพระพักตร์ ลำดับนั้นพระพุทธองค์จึงทรงเปล่งอุทานว่า
ความสงัดคือความสุขของบุคคลผู้มีธรรมอันได้สดับแล้วได้รู้เห็นสังขารทั้งปวงตามเป็นจริงอย่างไร ความสำรวมไม่เบียดเบียนในสัตว์ทั้งหลาย และ ความเป็นผู้ปราศจากกำหนัดหรือสามารถก้าวล่วงพ้นซึ่งกามทั้งปวงเสียได้ เป็นสุขอันประเสริฐในโลก ความขาดจากอัสมิมานะหรือการถือตัวตนหากกระทำให้ (การถือตัว) หมดสิ้นไปได้นั้นเป็นความสุขอย่างยิ่ง
— พระพุทธโคตม
‘วัดบวรนิเวศวิหาร’ เดิมชื่อว่า ‘วัดใหม่’ ตั้งอยู่ภายในพระนครติดถนนบวรนิเวศและถนนพระสุเมรุ ริมกำแพงเมืองด้านทิศเหนือ พื้นที่สร้างวัดนี้แต่เดิมคงเป็นที่ว่างอยู่ในอาณาเขตวังหน้า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ (พุทธศักราช ๒๓๖๗-๒๓๗๕) กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนา วัดใหม่ ขึ้นในบริเวณดังกล่าว ภายหลังจากการทำการศพเจ้าจอมมารดาน้อย ซึ่งเป็นเจ้าจอมมารดาของพระองค์เจ้าหญิงดาราวดี พระชายาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าชายอรุโณทัย ประสูติเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๓๒๘ เป็นพระเจ้าลูกยาเธอลำดับที่ ๑๗ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กับเจ้าจอมมารดานุ้ยใหญ่ ธิดาพระยานคร(พัฒน์) เมื่อพระชนมายุ ๒๓ ชันษา ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทรงกรมเป็นกรมหมื่นศักดิพลเสพย์กำกับราชการ กลาโหม ครั้นถึงปีพุทธศักราช ๒๓๖๓ เมื่อคราวศึกพม่ายกทัพจะเข้าตีไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงมีพระบรมราชโองการให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่่นศักดิพลเสพย์พร้อมด้วยพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เป็น แม่ทัพคุมพลไปตั้งรับที่หัวเมืองชายแดนฝั่งตะวันตก ด้วยเหตุที่พระองค์เคยร่วมบัญชาการศึกมาด้วยกันและเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย เมื่อพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ขึ้นครองราชสมบัติ เป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงอุปราชาภิเษกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นศักดิพลเสพย์เป็นสมเด็จพระบวร ราชเจ้ากรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังสถานมงคลตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๓๖๗-๒๓๗๕ ดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราชอยู่ ๘ ปี ประชวรและสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๓๗๕ เมื่อยังดำรงพระชนม์ชีพ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ทรงสถาปนาวัดสำคัญ ๒ แห่งคือ ‘วัดบวรสถานสุทธาวาสหรือวัดพระแก้ววังหน้า’ สร้างขึ้นในเขตพระราชวังบวรสถานมงคลทางด้านทิศเหนือ เพื่อให้เป็นวัดประจำวังแบบเดียวกับวัดพระศรีรัตนศาสดารามซึ่งเป็นวัดตั้ง อยู่ในเขตพระบรมมหาราชวัง และวัดที่ทรงสถาปนาเพื่มขึ้นอีกแห่งคือ ‘วัดบวรนิเวศวิหารหรือวัดใหม่’ สร้างในพื้นที่บริเวณทิศเหนือของพระนครใกล้กับวัดรังษีสุทธาวาสที่สมเด็จ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ทรงสร้างตั้งแต่สมัยรัชการที่ ๒ โดยเริ่มดำเนินการสร้างภายหลังจากทำการศพเจ้าจอมมารดาน้อย พระชายาในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในบริเวณพื้นที่ซึ่งกำหนดจะสร้างวัดบวรนิเวศวิหารขึ้นตรงนั้น การสถานปนาวัดเมื่อแรกเริ่มนั้น สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ทรงสร้างพระอุโบสถขึ้นก่อน ลักษณะเป็นอาคารจตุรมุข ซึ่งมีมุขหน้ายาว มุขข้างและมุขหลังสั้น แต่ได้ผูกพัทธสีมาเฉพาะมุขหน้าเท่านั้น โดยได้อัญเชิญหลวงพ่อโต จากวัดสระตะพาน วังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโลหะ ลงรักปิดทองปางมารวิชัย ศิลปะแบบอู่ทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ขนานนามว่า ‘พระสุวรรณเขต’
ข้อมูลวิกิพีเดีย,วัดบวร