สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ ฉายา จนฺทปชฺโชโต (นามเดิม: สนั่น สรรพสาร) เป็นสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น เจ้าอาวาสวัดนรนาถสุนทริการาม กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 8 และ 10 (ธรรมยุต)
ชาติกำเนิด
สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ มีนามเดิมว่า สนั่น สรรพสาร เกิดเมื่อวันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2451 ตรงกับวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 10 ปีวอก ภูมิลำเนาอยู่บ้านหนองบ่อ ตำบลหนองบ่อ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โยมบิดาเป็นกำนันตำบลหนองบ่อชื่อนายคำพ่วย โยมมารดาชื่อนางแอ้ม ตอนที่ท่านคลอด เกิดเหตุลมกรรโชกแรง และมีฟ้าแลบฟ้าร้องดังสนั่น กำนันคำพ่วยจึงตั้งชื่อบุตรคนที่ 6 นี้ว่าสนั่น ต่อมานางแก้ว พี่สาวของโยมมารดาได้รับท่านไปเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรมเพราะตนกับนายเคน สามีไม่มีบุตร ท่านจึงเรียกลุงกับป้าว่าพ่อแม่
ท่านมีอุปนิสัยน้อมไปทางเพศบรรพชิตมาตั้งแต่ยังเด็ก มักปรารถว่าอยากบวชเป็นสามเณร ชอบอยู่กับผู้ใหญ่มากกว่ากับเด็กในวัยเดียวกัน
บรรพชา
ปี พ.ศ. 2460 ป้าแก้วได้ถึงแก่กรรมลง เด็กชายสนั่นจึงบวชเณรหน้าไฟอุทิศให้ป้า ณ วัดบูรพาพิสัย จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระอธิการเคน คมฺภีรปญฺโญ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชแล้วท่านพอใจในสมณเพศมาก มากจึงดำรงสมณเพศต่อมาโดยไม่ลาสิกขาบท เมื่ออยู่วัดบูรพาพิสัยได้ 4 ปี พระศาสนดิลก (เสน ชิตเสโน) ได้พาท่านมาอยู่วัดศรีทอง (ปัจจุบันคือวัดศรีอุบลรัตนาราม) และได้เรียนภาษาไทยและภาษาบาลีกับพระศรีธรรมวงศาจารย์ (ทองจันทร์ เกสโร)
การศึกษาและอุปสมบท
พระศาสนดิลก (เสน ชิตเสโน) เห็นว่าสามเณรสนั่นมีความประพฤติดี มีความเพียร ความอดทน และใฝ่เรียน จึงได้ได้พาท่านมาฝากกับพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร ในปี พ.ศ. 2468 เพื่อเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ถึง พ.ศ. 2471 ท่านจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถ วัดบรมนิวาส โดยมีพระครูศีลวรคุณ (อ่ำ ภทฺราวุโธ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอมราภิรักขิต (ชัย ชิตมาโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้นามฉายาว่า จนฺทปชฺโชโต
ท่านศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้ตามลำดับดังนี้
พ.ศ. 2469 สอบได้นักธรรมชั้นตรี
พ.ศ. 2470 สอบได้นักธรรมชั้นโท
พ.ศ. 2471 สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค
พ.ศ. 2472 สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค
พ.ศ. 2473 สอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค
พ.ศ. 2474 สอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค
พ.ศ. 2475 สอบได้นักธรรมชั้นเอก
พ.ศ. 2480 สอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยค
พ.ศ. 2484 สอบได้เปรียญธรรม 8 ประโยค
พ.ศ. 2486 สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค
ตำแหน่ง
พ.ศ. 2486 สมาชิกสังฆสภา
พ.ศ. 2501 เจ้าอาวาสนรนาถสุนทริการาม
พ.ศ. 2510 เจ้าคณะภาค 8 และ 10(ธรรมยุต)
พ.ศ. 2512 กรรมการมหาเถรสมาคม
พ.ศ. 2520 เจ้าคณะภาค 8 (ธรรมยุต)
สมณศักดิ์
พ.ศ. 2489 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระอมรเวที
พ.ศ. 2498 เป็นพระราชาคณะชั้นราชในราชทินนามเดิม
พ.ศ. 2501 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพวราภรณ์ ธรรมนีติปกรณ์โกศล วิมลญาณนายก ตรีปิฎกคุณาลังการ ศาสนภารธุราทร ยติคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี
พ.ศ. 2506 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมวราภรณ์ สุนทรอรรถสาทิส วิจิตรธรรมภาณี ตรีปิฎกคุณาลังการ ศาสนภารธุราทร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. 2519 เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระพรหมมุนี ศรีวิสุทธิญาณนายก ตรีปิฎกคุณาลงกรณ์ ธรรมยุตติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. 2532 เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ พิพัฒนพงศ์วิสุต พุทธพจนานุสิฐ วิจิตรธรรมานุศาสน์ปสาทกร สุนทรพิพิธธรรมจารี ตรีปิฎกบัณฑิต ธรรมยุติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี
มรณภาพ
สมเด็จพระมหามุนีวงศ์อาพาธด้วยโรคไตและโรคปอด ต่อมามีอาการรุนแรงขึ้น และมีโรคเบาหวานและหอบเกิดขึ้นแทรกซ้อน และถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชรา ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เมื่อวันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 เวลา 13:40 น. สิริอายุได้ 90 ปี 55 วัน พรรษา 71 ตั้งศพบำเพ็ญกุศล ณ ตึกสามัคคีเนรมิตร วัดนรนาถสุนทริการาม ได้รับพระราชทานโกศไม้สิบสองบรรจุศพ รับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์โดยตลอด และมีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมเวลากลางคืนกำหนด 7 คืน
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (ขณะดำรงพระยศเป็นสยามมกุฎราชกุมาร) เสด็จฯ แทนพระองค์ไปพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2542 เวลา 17:30 น.