หลวงพ่อโม้ เกิดเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2412 ที่อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง โยมบิดาชื่อโต โยมมารดาชื่อฉ่ำ พออายุได้ 21 ปี ในปี พ.ศ.2433 จึงได้อุปสมบทที่วัดไทรย์ ตำบลจระเข้ร้อง อำเภอวิเศษชัยชาญ
โดยมีพระครูทอง วัดสนามไชย เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์นิ่ม วัดน้ำซน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์น้อย วัดเทวราช เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทแล้ว ก็ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ที่วัดศาลา จังหวัดอ่างทอง 4 พรรษา
ต่อมา ท่านได้เข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่ที่วัดราชนัดดา ในสมัยที่พระนิกรมมุนี (โห้) เป็นเจ้าอาวาส หนึ่งพรรษา ก็พอดีมีชาวบ้านมานิมนต์ ท่านไปจำพรรษาที่วัดสน ราษฎร์บูรณะ ซึ่งขณะนั้นวัดสนว่าง เจ้าอาวาสอยู่พอดี และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสน
เมื่อท่านได้มาอยู่ที่วัดสนแล้วก็ได้เอาใจใส่ดูแลถาวรวัตถุต่างๆ เช่น จัดให้มีการสร้างกุฏิ ศาลาการเปรียญ โบสถ์ โรงเรียนพระปริยัติธรรม โรงเรียนประชาบาล เป็นต้น พอว่างท่านก็ได้ไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานที่วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) สมัยเจ้าคุณพระสังฆวรานุวงศ์ เถระ (เอี่ยม)
พอถึงปี พ.ศ.2455 ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอธิการ เจ้าคณะตำบลราษฎร์บูรณะ และต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2457 ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูศีลนิวาส พ.ศ.2480 ได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
หลวงพ่อโม้กับหลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก เป็นศิษย์สำนักวัดพลับ ด้วยกันและมีความสนิทสนมกันมาก ไปมาหาสู่กันอยู่เนืองๆ ในสมัยก่อนก็มีคำกล่าวว่าศิษย์ 2 สำนักนี้หนังดีฟันไม่เข้า เป็นที่รู้กันดีในแถบนั้น เมื่อปี พ.ศ.2484 หลวงพ่อโม้อายุครบ 6 รอบ (72 ปี) ศิษยานุศิษย์จึงได้จัดงานฉลองอายุ และขออนุญาตท่านออกเหรียญรูปท่าน เป็นเหรียญรูปเสมารูปหลวงพ่อโม้ครึ่งองค์ แล้วก็เป็นเหรียญรุ่นแรกของท่าน ปัจจุบันหายากราคาสูง และต่อมาก็ยังมีการออกเหรียญอีกรุ่นในปี พ.ศ.2500 แต่เหรียญนิยมจะเป็นเหรียญรุ่นแรก
ข้อมูลkhaosod