เหรียญ พระพุทธโพธิคุณากรบวรศาสดา (พระอาจารย์วราห์ ปุญญวโร) วัดโพธิ์ทอง กรุงเทพมหานคร เนื้อทองแดง ปี ๒๕๓๓ ที่ระลึกสมเด็จพระญาณสังวรเททองหล่อพระ

เหรียญ พระพุทธโพธิคุณากรบวรศาสดา (พระอาจารย์วราห์ ปุญญวโร) วัดโพธิ์ทอง กรุงเทพมหานคร เนื้อทองแดง ปี ๒๕๓๓ ที่ระลึกสมเด็จพระญาณสังวรเททองหล่อพระ
เหรียญ พระพุทธโพธิคุณากรบวรศาสดา (พระอาจารย์วราห์ ปุญญวโร) วัดโพธิ์ทอง กรุงเทพมหานคร เนื้อทองแดง ปี ๒๕๓๓ ที่ระลึกสมเด็จพระญาณสังวรเททองหล่อพระเหรียญ พระพุทธโพธิคุณากรบวรศาสดา (พระอาจารย์วราห์ ปุญญวโร) วัดโพธิ์ทอง กรุงเทพมหานคร เนื้อทองแดง ปี ๒๕๓๓ ที่ระลึกสมเด็จพระญาณสังวรเททองหล่อพระ
รหัสสินค้า REPOT3301
หมวดหมู่ พระเครื่อง จังหวัด กรุงเทพมหานคร
ราคา 950.00 บาท
สถานะสินค้า พร้อมส่ง
ลงสินค้า 2 เม.ย. 2567
อัพเดทล่าสุด 21 ส.ค. 2568
จำนวน
เหรียญ
หยิบลงตะกร้า
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay
“พระอาจารย์วราห์ ปุญญวโร” หรือ “พระครูวิศิษฏ์พิทยาคม” บิดาของท่านเป็นชาวไทยมุสลิม ส่วนมารดาเป็นชาวไทยพุทธ ในวัยเยาว์ท่านจึงนับถือทั้งสองศาสนา จนกระทั่งอายุได้ ๒๓ ปี ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ครอบครัวพ้นภัยพิบัติ ซึ่งเมื่อประสบผลสำเร็จตามที่ให้สัญญาไว้ ท่านจึงเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๒๘ ณ พัทธสีมาวัดโพธิทอง

หลังบวชเรียนแล้ว ท่านได้ออกธุดงค์ไปตั้งแต่เหนือสุดจรดใต้สุด เพื่อศึกษาวิชาทางธรรม และร่ำเรียนวิชาคาถาอาคม จากพระเกจิอาจารย์หลายสำนัก อาทิเช่น หลวงปู่มุจลินทร์ ที่มาสอนวิชา ทางนิมิต, หลวงปู่เขียน วัดตะคล้อ จ.นครสวรรค์ และหลวงปู่ใหญ่ เกจิชื่อดังแห่งภาคอีสาน เมื่อร่ำเรียนวิชาจนอาคมกล้าแกร่ง ท่านจึงกลับมาอยู่ที่วัดโพธิทอง เพื่อสงเคราะห์ญาติโยมที่เดินทางมาพึ่งบารมี

ต่อมาปี ๒๕๓๕ ท่านได้นิมิตว่า มีพญาครุฑ ๒ องค์ มาบอกว่าอยู่ที่วัดโพธิทองมานาน เป็นรูปพญาครุฑเนื้อไม้แกะสลัก ถูกเก็บไว้โดยไม่มีใครสนใจ องค์แรกชื่อ “พญาครุฑเวสชัยยัน” องค์ที่สองชื่อ “พญาครุฑพระยาสุบรรณ”

บวชเรียน ศึกษาวิชา

พระอาจารย์วราห์ ปุญญวโร เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง นับเป็นอริยสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่คนในประเทศและต่างประเทศให้การยอมรับว่าตลอด ๒๒ พรรษา ที่ได้ถือครองเพศบรรพชิต พระอาจารย์วราห์เป็นพระนักพัฒนาที่ได้สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติอยู่ตลอดเวลา ทั้งการสร้างคนให้เป็นคนดี และสร้างสาธารณสถานไว้มากมาย

โดยเฉพาะวัดโพธิ์ทอง ได้รับการยอมรับว่าเป็นของชุมชนอย่างแท้จริง เป็นตักสิลา และโรงทาน ที่ผู้ระทมทุกข์ได้เข้ามาแล้วกลับไปอย่างรื่นรมย์ทุกราย นอก จากความเป็นพระนักพัฒนาแล้ว สาธารณชนยังประจักษ์ชัดว่า พระอาจารย์วราห์เป็นพระอริยสงฆ์ที่ทรงญาณวิเศษ ที่คนหลากหลายชนชั้น นับตั้งแต่รัฐมนตรียันยาจก ต่างต่อคิวเข้าพบท่านเพื่อปรึกษาและขอคำแนะนำในการแก้ปัญหาและดำเนินชีวิตอย่างมิขาดสาย

ที่สําคัญ พระอาจารย์วราห์มักมีปาฎิหารย์ให้ผู้ใกล้ชิดได้ประจักษ์ชัดอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่ภพชาติของท่านในอดีต ก็ยังเป็นปาฎิหาริย์ ท่านเจอปาฎิหาริย์จนต้องบวชมาเป็นพระ และได้อาราธนาต่อหน้าสระมุจรินทร์ เมืองพุทธคยา ประเทศอินเดีย ว่าจะดํารงเพศบรรพชิตจวบจนสิ้นชีวิต อันเป็นคํามั่นสัญญาที่พระอาจารย์วราห์ได้รับปากกับพญามุจรินทร์นาคราช หรืออเทพท้าวนาคบุตรคาโคดม ซึ่งพระอาจารย์วราห์ได้สัมผัสด้วยญาณวิเศษที่มีอยู่ในตัวท่านมาตั้งแต่วัยเยาว์ ซึ่งในวัยเยาว์ของพระอาจารย์วราห์นั้น ท่านยังมิได้นับถือศาสนาพุทธ แต่เป็นเด็กมุสลิมที่ถือกําเนิดริมคลองบางประแก้ว

เรื่องเล่าเกี่ยวกับอภินิหารที่พระอาจารย์วราห์ท่านได้ประสบ

พระอาจารย์วราห์ท่านเป็นบุตรของนายสําราญ กัปตันเดินเรือขนาดใหญ่ ที่นําเรือล่องไปทั่วโลก และแน่นอน ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น พระอาจารย์วราห์เมื่อครั้งเป็นฆราวาสจึงเดินเข้าสู่เส้นทางธุรกิจเดินเรือ และตั้งใจที่จะก้าวสู่การเป็นกัปตันเดินเรือเหมือนพ่อให้ได้ แต่ด้วยญาณวิเศษ ที่ท่านสามารถสื่อสารกับพญามุจรินทร์ได้ จึงทําให้พระอาจารย์วราห์มองเห็นภาพในอนาคตได้ และมีครั้งหนึ่ง ท่านได้มองเห็นภาพของพ่อสําราญนอนเสียชีวิตในเรือญี่ปุ่น จึงได้สอบถามกับพญามุจริทร์ว่าจะทําอย่างไร ถึงจะทำให้พ่อสําราญมีอายุยืนออกไปอีก คําตอบที่ท่านได้รับ คือ ท่านต้องเลิกเป็นมุสลิม แล้วมาเป็นพุทธมามกะ แล้วพ่อสําราญจะมีอายุยืนออกไปอีก ๓ ปี แต่ถ้าต้องการให้พ่อสำราญท่านอยู่จนแก่ชรา พระอาจารย์วราห์ต้องบวชเป็นพระ เพื่อสร้างผลานิสงฆ์ให้กับพ่อแม่ ซึ่งพระอาจารย์วราห์ท่านก็ยอมเปลี่ยนศาสนามาเป็นพุทธมามกะ แต่ท่านยังไม่ได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ จนเมื่อครบเวลา ๓ ปี พ่อสําราญก็เสียชีวิตลง แม้ว่าพ่อสําราญจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่พระอาจารย์วราห์ก็ยังดํารงตนเป็นฆราวาสอยู่เหมือนเดิม

จนกระทั่งก่อนที่พระอาจารย์วราห์จะหันเหเข้าสู่เส้นทางแห่งพุทธธรรม ท่านได้ป่วยหนัก จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่โชคดีที่ได้พญามุจลินทร์มาช่วยชี้ทางสว่างให้ ซึ่งก่อนหน้านั้น หลวงพ่อได้ป่วยด้วยอาการหายใจไม่สะดวก นอนแน่นิ่งไม่รู้สึกตัว จนคณะแพทย์ต้องช่วยกันปั๊มหัวใจเพื่อยื้อชีวิตท่านไว้

ในระหว่างที่พระอาจารย์ท่านหมดสติ ไม่รู้สึกตัว ดวงจิตของท่านได้ล่องลอยไปเจอพระสงฆ์รูปหนึ่ง ที่มีประกายรัศมีเจิดจ้า ท่านรู้สึกกระหายน้ำมาก จึงได้ตักน้ำจากบ่อขึ้นมาดื่ม แต่เมื่อตักดื่มเท่าไหร่ น้ำก็ไม่ลงคอสักที พระรูปนั้นจึงบอกว่า “เหตุที่เป็นเช่นนั้น เป็นเพราะเธอไม่เคยทำบุญใส่บาตรเลยน่ะสิ” แล้วพระท่านก็ช่วยตักน้ำให้พระอาจารย์วราห์ดื่ม

“ไม่คิดที่จะไหว้พระบ้างหรือ” พระรูปนั้นถาม ท่านก็ตอบไปว่า “จะไหว้ได้อย่างไร เพราะตนเป็นพุทธก็ไม่ใช่ แขกก็ไม่เชิง ไหว้พระก็จะทำให้ท่านผิดบาปต่อพระอัลเลาะห์” หลังจากนั้นพระองค์นั้นได้บอกกับท่านว่า “ป๋าของเธอจะจากไปใน ๓ เดือนข้างหน้า ด้วยวัย ๔๙ ปี ชาติที่แล้วฆ่าสัตว์ไว้มาก จึงอายุสั้น ถ้าอยากให้พ่อหลุดพ้นจากความตาย เธอต้องบวช และถ้าหมั่นถือศีล ทำความดี พ่อจะอยู่ได้อีก ๓ ปี และจะจากไปในวันที่ ๑๓ ธันวาคม” พระอาจารย์วราห์เห็นภาพพ่อของท่านนอนเสียชีวิตในเรือญี่ปุ่น และก่อนจะตื่นขึ้น พระองค์นั้นก็บอกว่าท่านคือ “พญามุจลินทร์” ชาติก่อนได้ตักบาตรร่วมกัน ชาตินี้ท่านจึงขอให้พระอาจารย์วราห์บวชให้ และจากนั้น วิญญาณพระอาจารย์วราห์ก็กลับเข้าร่าง และรอดตายอย่างปาฏิหาริย์

อีกปาฎิหาริย์หนึ่งคือ การที่พระอาจารย์วราห์ได้พบกับพญานาคทั้ง ๗ ที่วัดพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทําให้พระอาจารย์วราห์เกิดเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างจริงใจ และประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังมาถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม วิถีชีวิตส่วนใหญ่ของพระอาจารย์วราห์ ผูกพันกับพญานาคมาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่เหตุที่มาสร้างครุฑอยู่ทุกวันนี้ เพราะเป็นปาฎิหารย์เมื่อครั้งรับนิมนต์จากบุคคลผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่ง ให้ไปสวดที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง และในญาณท่านได้พบกับผู้มีบุญมาขอให้ท่านช่วยสร้างพญาครุฑให้ด้วย หลังจากนั้น พระอาจารย์วราห์จึงได้ขอพระราชทานอนุญาตจากพระบรมโอรสาธิราชฯ จัดสร้างครุฑ เพื่อถวายข้าราชบริพารในวัง และมอบให้กับทหาร ตํารวจ โดยการสร้างพญาครุฑถวายเป็นพระราชกุศลครั้งนั้นเอง ที่ทําให้เกิดเนื้อนาบุญให้กับพระอาจารย์วราห์ ได้ทํางานรับใช้ศาสนาและประเทศชาติมาจนทุกวันนี้

วัดโพธิทอง
วัดโพธิทอง [โพ-ทอง] เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่บริเวณที่คลองลัดขี้เหล็กตัดกับคลองเจ้าคุณ ในแขวงบางมด เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร

วัดโพธิทองตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2450 เดิมชื่อ วัดทุ่ง ไม่ทราบผู้สร้างว่าเป็นใคร แต่สันนิษฐานว่าตระกูลบุนนาคเป็นผู้สร้าง เพราะตระกูลนี้มีสวนและที่นาอยู่บริเวณนี้ และให้ชาวเขมรที่อพยพมาทำไร่ทำนาบริเวณคลองเจ้าคุณ ต่อมาคลองนี้เรียกว่า คลองเขมร ที่ตั้งวัดอยู่ปลายสุดของสวนและนาที่เขมรทำอยู่ เดิมอุโบสถทำด้วยไม้ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวัด แต่ไม่ปรากฏว่าสร้างอุโบสถเมื่อใด คาดว่าอุโบสถหลังนี้ได้ถูกยกเลิกไปหลังผูกพัทธสีมาอุโบสถหลังใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2450 ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "วัดโพธิทอง" ด้วยเหตุผลที่ว่าบริเวณคลองบางปะแก้วมีวัดโพธิ์แก้วอยู่ทางต้นคลอง จึงตั้งชื่อ "วัดโพธิทอง" ควบคู่กันไป วัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2513

อุโบสถหลังใหม่สร้างแทนหลังเดิมเมื่อ พ.ศ. 2515 บูรณะซ่อมแซมเมื่อ พ.ศ. 2543 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2555 ได้บูรณะอีกครั้ง ภายในอุโบสถประดิษฐานพระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตัก 60 นิ้ว มีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างสถาบันเพาะช่าง ยังมีภาพเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เช่น ภาพพระราชกรณียกิจ หอฉันของวัดมี 2 ชั้น และมีศาลาไม้เก่าแก่
ข้อมูลsiamcollection วิกิพีเดีย

วิธีการชำระเงิน

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาปตท.ถนนกาญจนาภิเษก 2 ออมทรัพย์

JEWELRY-ANTIQUE-AMULET

ระบบสมาชิก

สถิติร้านค้า

หน้าที่เข้าชม4,446,214 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด3,382,512 ครั้ง
เปิดร้าน4 ก.พ. 2558
ร้านค้าอัพเดท6 ก.ย. 2568

ติดต่อเรา

ติดตามสินค้า

พูดคุย-สอบถาม