พระสุเมธมังคลาจารย์ (อมร อมรปญฺโญ)พระสุเมธมังคลาจารย์ นามเดิม อมร ฉายา อมรปญฺโญ เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร
ประวัติพระสุเมธมังคลาจารย์ เดิมชื่อ สำลี เป็นบุตรของนายโท้และนางโล่ สกุลเดิมฤกษ์นิยม ภายหลังได้เปลี่ยนนามสกุลเป็น อมร เกิดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2453 ณ บ้านกระทุ่ม หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านกระทุ่ม อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 4 คน คือ ปุ่น สำลี ทองสุข และเกษม ตามลำดับ
บรรพชา และ อุปสมบทบรรพชาเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2468 ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร พระธรรมวโรดม (จ่าย ปุณฺณทตฺโต) เป็นพระอุปัชฌาย์
อุปสมบทเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2474 วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร โดยมี พระธรรมโกศาจารย์ (ปลด กิตติโสภณ) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระสรภาณี เป็นพระกรรมวาจารย์ มีพระศรีสมโพธิ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า "อมรปญฺโญ"
การศึกษาพ.ศ. 2462-2465 เรียนระดับประถมศึกษา ณ โรงเรียนวัดใบบัวบก ตำบลบ้านกระทุ่ม อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จบชั้น ป.3
พ.ศ. 2466 ลงไปอยู่กรุงเทพฯ พักอาศัยบ้านอาหลวงศรีอมร ข้างวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เรียนบาลีมูลฃกัจจายนะ ที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
พ.ศ. 2467 เรียนบาลีไวยากรณ์
พ.ศ. 2468 อายุ 15 ปี บรรพชาเป็นสามเณร เรียนบาลีธรรมบท
พ.ศ. 2470 อายุ 17 ปี สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค และนักธรรมชั้นตรี
พ.ศ. 2472 อายุ 19 ปี สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค และนักธรรมชั้นโท
พ.ศ. 2473 อายุ 20 ปี สอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค และนักธรรมชั้นเอก
พ.ศ. 2475 อายุ 22 ปี สอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค
พ.ศ. 2478 อายุ 25 ปี สอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยค
สมณศักดิ์1 มีนาคม พ.ศ. 2489 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระอมรเมธี
5 ธันวาคม พ.ศ. 2495 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชสุธี ธรรมปรีชาภิมณฑ์ ปริยัติโกศล ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
5 ธันวาคม พ.ศ. 2500 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพมุนี ศรีวิสุทธศีลาจารย์ ญาณนายก ตรีปิฎกธาดา มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
5 ธันวาคม พ.ศ. 2504 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมโมลี ศรีปริยัติพัฒนคุณ วิบุลธรรมสุนทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
5 ธันวาคม พ.ศ. 2532 เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่ พระสุเมธมังคลาจารย์ พิศาลกิจจานุกิจจาทร บวรสีลาจารวิมล โสภณธรรมภาณี ตรีปิฎกวราลงกรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
หน้าที่การงานพ.ศ. 2473-2480 เป็นครูสอนบาลีไวยากรณ์ ณ วัดเบญจมบพิตร
พ.ศ. 2481 เป็นครูสอนบาลีชั้น ประโยค 4, นักธรรมเอก, ภาษาอังกฤษและวิชาการแต่งคำประพันธ์ ณ สำนักเรียนวัดพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน
พ.ศ. 2489 เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุหริภุญชัย
พ.ศ. 2490 เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. 2490-2500 เป็นเจ้าคณะตรวจการภาค 4
พ.ศ. 2501-2505 เป็นเจ้าคณะตรวจการภาค 5 ปกครอง 8 จังหวัดภาคเหนือ
(แพร่ น่าน ลำปาง เชียงราย ลำพูน เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และอุตรดิตถ์)
พ.ศ. 2508-2528 เป็นเจ้าคณะภาค 7
พ.ศ. 2516 เป็นหัวหน้าพระธรรมทูต สายที่ 4
ผลงานผลงานด้านสาธารณูปการบูรณะองค์พระธาตุเจ้าหริภุญชัย โดยการปิดทองเหลืออร่ามทั้งองค์
บูรณะพระเจดีย์โบราณ 2 องค์ ในวัดพระธาตุหริภุญชัย โดยการตกแต่งให้สง่างามตามสภาพเดิม ทั้งนี้โดยความร่วมมือของกรมศิลปากร และหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบ
บูรณะปฏิสังงขรณ์และก่อสร้างพระวิหารและหอพระพุทธรูปต่าง ๆ ในวัดพระธาตุหริภุญชัย เช่น
จัดให้มีการเขียนภาพจิตรกรรมบนฝาผนังพระวิหารหลวง โดยใช้ช่างฝีมือพื้นเมือง และประพันธ์คำบรรยายประกอบภาพด้วยตนเอง
รื้อพระวิหารและหอพระพุทธรูปเก่าชำรุดทรุดโทรม และก่อสร้างขึ้นใหม่ เช่น วิหารพระเจ้าละโว้ วิหารพระพุทธ หอพระนอน หอพระเจ้ากลักเกลือ หอพระเจ้าพันตน และหอพระพุทธบาท เป็นต้น
บูรณะพระอุโบสถและศาลาบาตร ที่รายรอบอาณาบริเวณวัดพระธาตุหริภุญชัยชั้นใน
บูรณะซ่อมแซมพระพุทธรูปต่าง ๆ ซึ่งเป็นของเก่าจำนวน 84 องค์
บูรณะหอพระสังขจาย
ก่อสร้างอาคารต่าง ๆ ทั้งในส่วนที่เป็นโรงเรียนเมธีวุฒิกร และสำนักเรียนหอปริยัติศึกษา
จัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรม"เชตวันธรรมาราม" ซึ่งเดิมเป็นวัดร้าง อยู่ในตำบลเหมืองจี้ อำเภอเมืองลำพูน
ผลงานด้านการจัดการศึกษาทางคดีโลกและคดีธรรม ได้จัดตั้งโรงเรียนเมธีวุฒิกรขึ้นในวัดพระธาตุหริภุญชัย ตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ และประกาศขอสังฆมนตรีวาการองค์การศึกษา พ.ศ. 2488 เรื่อง โรงเรียนราษฎร์ของวัด เพื่อเปิดโอกาสให้พระภิกษุสามเณร และกุลบุตรได้ศึกษาทั้งคดีโลกและคดีธรรม ควบคู่กัน
ทางปริยัติธรรม ได้จัดตั้งโรงเรียนหอปริยัติศึกษาขึ้นที่คณะสะดือเมือง วัดพระธาตุหริภุญชัย เพื่อให้พระภิกษุสามเณรเรียนนักธรรมและบาลีโดยเฉพาะ
ผลงานด้านการเผยแพร่พระสุเมธมังคลาจารย์ มีคุณวุฒิถึงเปรียญธรรม 7 ประโยค ได้ศึกษาปฏิบัติตามพระคัมภีร์อย่างเป็นระบบและเป็นขั้นตอน บทบาทและหน้าที่ของท่าน นอกจากสอนหนังสือแล้ว ก็คือ การเทศนาปาฐกถาธรรม อบรมสั่งสอนประชาชนทั้งปริยัติและปฏิบัติ ท่านได้ออกจาริกไปตามถิ่นทุรกันดารตั้งแต่ยังไม่ได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในตำแหน่งเผยแพร่โดยตรง จนกระงมีการตั้งกองพระธรรมทูตขึ้น ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพระธรรมทูต ได้ออกจากเทศนาและอบรมศีลธรรมในเขตรับผิดชอบ 8 จังหวัด ภาคเหนือ เป็นประจำทุกปี
ผลงานด้านวรรณกรรมพระสุเมธมังคลาจารย์ เป็นผู้มีทั้งพรสวรรค์และพรแสวงในด้านการขีดเขียน สนใจใฝ่รู้และฝึกฝนตนเองทางการประพันธ์ ตั้งแต่เยาวัย มีผลงานทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ออกเผยแพร่เป็นประจำ เช่น มาฆบูชา คำประพันธ์ สุภาษิตวิทยุ และบทความต่าง ๆ เป็นต้น เป็นเรื่องยาวซึ่งเด่นที่สุดคือ ล่องแก่งโขงนามแฝงเท่าที่ค้นพบมี 3 นาม คือ อมระอมร เทพไท ศรีวรวิชัยะ และมหาธรรมาภิรมย์
มรณกาลพระสุเมธมังคลาจารย์ ถึงแก่มรณภาพด้วยภาวะหัวใจวาย เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 เวลา 08.20 น. สิริอายุได้ 79 ปี 8 เดือน 19 วัน ในการนี้พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์รับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ พร้อมทั้งพระราชทานโกศ เครื่องประกอบเกียรติยศ พวงมาลาตั้งประดับหน้าโกศ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ออกเมรุพระราชทาน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในการพระราชทานเพลิงศพ ณ สุสานบ้านหลวย อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน
ข้อมูล วิกิพีเดีย