เหรียญ หลวงพ่อทอง วัดประดู่ดำธเนตรนิมิต (บ้านเซ) จ.อุดรธานี หลวงพ่อเพชรมณี ที่ระลึกงานปิดทองฝังลูกนิมิต ปี 2545

เหรียญ หลวงพ่อทอง วัดประดู่ดำธเนตรนิมิต (บ้านเซ) จ.อุดรธานี หลวงพ่อเพชรมณี ที่ระลึกงานปิดทองฝังลูกนิมิต ปี 2545
เหรียญ หลวงพ่อทอง วัดประดู่ดำธเนตรนิมิต (บ้านเซ) จ.อุดรธานี หลวงพ่อเพชรมณี ที่ระลึกงานปิดทองฝังลูกนิมิต ปี 2545เหรียญ หลวงพ่อทอง วัดประดู่ดำธเนตรนิมิต (บ้านเซ) จ.อุดรธานี หลวงพ่อเพชรมณี ที่ระลึกงานปิดทองฝังลูกนิมิต ปี 2545
รหัสสินค้า PDDTNNM4501
หมวดหมู่ 62. พระเครื่อง จังหวัด อุดรธานี
ราคา 650.00 บาท
สถานะสินค้า พร้อมส่ง
ลงสินค้า 27 ส.ค. 2566
อัพเดทล่าสุด 16 ก.ค. 2568
จำนวน
เหรียญ
หยิบลงตะกร้า
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay
ประวัติ วัดบ้านเซ
ประวัติ วัดประดู่คำธเนตรนิมิต
วัดประดู่คำธเนตรนิมิต เป็นวัดราษฎร์ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่เลขที่ ๑๙๕/๑ หมู่ที่ ๓ ตำบลหนองขอนกว้าง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี 
เดิมเป็นวัดที่ไม่ปรากฏชื่อ ตั้งขึ้นโดยท่านพระอาจารย์คำไผ ซึ่งได้เดินทางธุดงค์จาริกแสดงธรรม มาจากอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เมื่อประมาณปีพ.ศ.๒๔๘๓ ปรากฏว่าชาวบ้านเซในขณะนั้น ตลอดจนชาวบ้านดงเค็งมีศรัทธาเป็นอันมากจึงได้อาราธานานิมนต์ให้ตั้งวัดและอยู่จำพรรษา และในปีพ.ศ.๒๔๘๔ ได้นำพระภิกษุสามเณรจากอำเภอกุมภวาปีมาร่วมจำพรรษาอยู่ด้วย  ซึ่งเดิมตั้งวัดอยู่ที่บริเวณด้านทิศใต้หนองน้ำสาธารณะบ้านอุดมพัฒนา ในปัจจุบัน และมีพระภิกษุสามเณรลูกหลานชาวบ้านได้บรรพชาอุปสมบท อยู่จำพรรษาร่วมกันมาปีละประมาณ ๑๐ รูป ตลอดมา
ต่อมา ปีพ.ศ.๒๔๙๖ ชาวบ้านเห็นว่าที่ตั้งวัดเดิมได้มีการสร้างสถานีรถไฟบ้านคำกลิ้ง ทำให้ที่ตั้งวัดต้องเป็นที่ลุ่มรับน้ำ และเป็นทางน้ำไหล จึงเห็นสมควรย้ายวัด จึงได้นิมนต์ท่านพระอาจารย์คำไผย้ายวัดมาอยู่ป่าดอนกลางทุ่งนาและเป็นจุดกึ่งกลางการสัญจรในหมู่บ้านระหว่างบ้านเซ กับคุ้มบ้านหนองหิน และคุ้มบ้านน้อยหน้าสถานี (ปัจจุบันคือบ้านอุดมพัฒนา) ซึ่งเป็นที่ดินของคุณพ่อพา คำธเนตร ซึ่งท่านเป็นอดีตนายทหารอากาศนักบินผ่านศึกที่เชียงตุง ในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา ได้มาตั้งหลักปักฐานมีครอบครัวที่บ้านเซ และเป็นผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา 
แต่ปรากฏว่าเมื่อมาอยู่ที่ดอนประดู่ท่านพระอาจารย์คำไผต้องอาพาธ ตาบอดทั้งสองข้าง จึงจำต้องลาสิกขาไปรักษาตัวที่บ้านเกิด บ้านพันดอน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ขณะที่พระภิกษุสามเณรที่เคยอยู่ร่วมจำพรรษากับท่านพระอาจารย์คำไผ ไม่ได้มาจำพรรษาอยู่ด้วย แต่แยกไปจำพรรษาที่อีกฝั่งทางรถไฟของวัดเก่าเดิม และตั้งเป็นวัดใหม่ว่า “วัดสามัคคีวนาราม”  และในขณะนั้นลูกหลานชาวบ้านเซ ได้ไปบรรพชาอุปสมบทศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่สำนักเรียนวัดสีหนาทศาสดารามทำให้ทางวัดอาจต้องขาดพระจำพรรษาในปีพ.ศ.๒๔๙๗ ทำให้ชาวบ้านหวั่นเกรงว่าหมู่บ้านจะไม่มีวัดเป็นหลักฐานมั่นคงเสียแล้ว บรรดาทายกทายิกาซึ่งนำโดยคุณพ่อพา  คำธเนตร แม่ใหญ่อุ่น สุระมรรคา แม่ใหญ่ตื๋อ  ดีแก้ว  แม่ใหญ่สี  สุระมรรคา  พ่อใหญ่คำ แม่ใหญ่สอน  นันทะคง พ่อใหญ่คำวาฬ  พระสลัก  พ่อใหญ่หนู  แม่ใหญ่หวาย  จันทร์สุข  แม่ใหญ่บุต แม่ใหญ่แซว  มาลาสิงห์  แม่ใหญ่ทรัพย์  สีนาค  พ่อใหญ่แฮม  สุวรรณแสง ตลอดจนชาวบ้านอีกหลายคน โดยพ่อใหญ่พา  คำธเนตร ได้แสดงเจตนาอุทิศถวายที่ดินของท่านให้ตั้งเป็นวัด จากนั้นได้นำคณะไปกราบนมัสการ พระเดชพระคุณท่านหลวงปู่เจ้าคุณพระเทพวิสุทธาจารย์ (หลวงปู่ดีเนาะ) เจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี ในขณะนั้น พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณหลวงปู่ดีเนาะ ได้มอบหมายให้ท่านพระราชพุทธีมุนี (พระมหาสิงห์  สุหัชโช) ซึ่งเป็นเลขานุการท่านเจ้าคุณหลวงปู่ดีเนาะ เจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี และเป็นกรรมการสงฆ์จังหวัดอุดรธานีประจำองค์การเผยแผ่จังหวัดอุดรธานี จัดหาพระภิกษุที่มีคุณสมณวิสัยที่จะสั่งสอนอบรมธรรมแก่พุทธศาสนิกชนและเป็นเจ้าอาวาสได้ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพุทธมุนี ได้เสนอพระใบฎีกาสุเวทย์  ชุติปัญโญ เจ้าอาวาสวัดสีหนาทศาสดาราม และเจ้าสำนักเรียนพระปริยัติธรรมประจำจังหวัดอุดรธานีแห่งที่ ๒ ซึ่งพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระเทพวิสุทธาจารย์ได้เห็นชอบด้วย จึงได้มีเถรบัญชาให้พระใบฎีกาสุเวทย์  ชุติปัญโญ พระฐานานุกรมในเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานีไปเป็นเจ้าอาวาสและตั้งวัด และพระใบฎีกาสุเวทย์  ชุติปัญโญ ได้นำพระภิกษุ สามเณรติดตามมาอยู่ด้วยเป็นพระภิกษุ ๑๑ รูป สามเณร ๒ รูป (หนึ่งในสามเณรที่ติดตามมาอยู่ด้วยคือคุณพ่อทองสุก  สีนาค อดีตผู้ใหญ่บ้านคนแรกบ้านอุดมพัฒนา)
ในครั้งที่พระใบฎีกาสุเวทย์  ชุติปัญโญ มาเป็นเจ้าอาวาสนั้น พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระราชพุทธิมนี หรือเจ้าคุณสิงห์ (ซึ่งต่อมาได้เป็นเจ้าคณะจังหวัด) ได้เมตตาเอาใจใส่ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนในการพัฒนาในการก่อตั้งวัดให้เป็นรัตนตรัยสถานอันมั่นคง โดยได้เสนอพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระเทพวิสุทธาจารย์ หลวงปู่ดีเนาะ ตั้งชื่อวัดให้ ซึ่งพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณหลวงปู่ดีเนาะได้เมตตาตั้งชื่อวัดว่า  “วัดประดู่คำธเนตรนิมิต” นับเป็นนิมิตหมายที่ดี และถือว่าเป็นมงคลนาม และเป็นศิริมงคลต่อศรัทธาชาวบ้านยิ่งนัก
ต่อมา ในปีพ.ศ.๒๕๐๓ พระใบฎีกาสุเวทย์  ชุติปัญโญ ได้ลาสึกขาสมณเพศ ท่านพระอาจารย์บุญเลิศ (หลวงพ่อญาท่าน จังหวัดหนองบัวลำภู) ได้เป็นเจ้าอาวาส และในปีพ.ศ.๒๕๐๖ แม่ใหญ่อุ่น สุระมรรคา ได้ถึงแก่กรรมลง และได้ทำฌาปณกิจบนที่ดินของท่านซึ่งเป็นที่ดอนด้านทิศตะวันออกของวัดซึ่งมีทางเกวียนเป็นร่องคั่นอยู่ คุณแม่ชาตรี วันธงชัย บุตรสาวจึงอุทิศที่ดินของคุณแม่อุ่น สุระมรรคาบริเวณที่ตั้งจุดฌาปนกิจแม่ใหญ่อุ่นถวายเป็นที่ตั้งวัดเพิ่ม (บริเวณที่ตั้งอุโบสถ และเมรุชั่วคราวองค์หลวงปู่) ทำให้วัดมีเนื้อที่ขยายเพิ่มขึ้น 
ในช่วงเวลาดังกล่าวพ่อใหญ่พา คำธเนตร ได้นำพระพุทธรูปโบราณซึ่งได้นำติดตัวมาแต่ครั้งไปรบที่เชียงตุงมาถวายซึ่งเป็นที่รู้จักว่า “หลวงปู่ทองดำ” และเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของวัด   
แต่แล้วในปีพ.ศ.๒๕๐๗ ท่านพระอาจารย์บุญเลิศ ได้ออกจาริกธุดงค์เพื่อปฏิบัติธรรมไปที่อื่น ท่านพระอาจารย์คูณ (พระครูโมลีปริยัติยากร ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยาราม) ซึ่งเป็นพระครูสอนปริยัติธรรมประจำสำนักเรียนวัดประดู่คำธเนตรนิมิตในขณะนั้น ต้องรักษาการเจ้าอาวาส
ต่อมาในปีพ.ศ.๒๕๐๙ ท่านพระอาจารย์คูณได้ขออนุญาตพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระเทพวิสุทธาจารย์ หลวงปู่ดีเนาะ ไปศึกษาต่อที่กรุงเทพพร้อมกับคณะศิษยานุศิษย์วัดมัชฌิมาวาส และได้แนะนำให้ชาวบ้านไปนิมนต์ท่านพระอาจารย์อุดม อินทวัณโณ ซึ่งอยู่กับท่านพระครูปทุมธารพิทักษ์ วัดโพธิ์ชัย บ้านเดื่อ เจ้าคณะตำบลหนองบัวในขณะนั้น มาเป็นพระครูสอนปริยัติธรรมแทน เนื่องจากเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและเป็นพระครูปริยัติธรรม แต่สำนักท่านพระครูปทุมธารพิทักษ์ไม่มีสำนักเรียน คณะทายกทายิกาจึงได้ไปกราบนมัสการพระครูปทุมธารพิทักษ์ขอพระภิกษุมาเป็นพระครูสอนปริยัติธรรมและเป็นเจ้าอาวาส ท่านพระครูปทุมธารพิทักษ์จึงได้มอบหมายให้พระอาจารย์อุดม อินทวัณโณ มาเป็นเจ้าอาวาสและเป็นพระครูสอนปริยัติธรรมตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๐๙ จนปัจจุบัน
ท่านพระอาจารย์อุดม อินทวัณโณ ได้มาเป็นผู้นำศรัทธาชาวบ้านญาติโยม ทำการพัฒนา ทำนุบำรุงวัด โดยเป็นพระครูสอนปริยัติธรรม นักธรรมชั้นตรี โท เอก ให้แก่บุตรหลานชาวบ้าน นอกจากนั้นลูกหลานจากทางจังหวัดหนองบัวลำภูก็ได้มาศึกษาเล่าเรียนอยู่กับท่านจำนวนมาก เมื่อจบการศึกษาในระดับหนึ่งแล้ว ท่านจะนำไปฝากเรียนต่อที่จังหวัดขอนแก่นด้วยตัวท่านเอง 
ปีพ.ศ.๒๕๑๖ คุณยายบุญเพ็ง คุณตาอ่อนสา ประเทศสิงห์ ได้เป็นเจ้าภาพถวายผ้ากฐินและพระพุทธรูปทองเหลืองสำหรับเป็นพระประธานองค์แรกของวัดด้วย
วันเข้าพรรษาปีพ.ศ.๒๕๑๗ คุณแม่ชาตรี วันธงชัย ได้นำพระบุโบราณมาถวายด้วย และพ่อใหญ่ขาลาย ไผ่เฟื้อยได้สร้างพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ องค์แรกและองค์เดียวไว้ด้านข้างศาลาหลังเก่า (ปัจจุบันได้รื้อออกไป และนำองค์พระไปประดิษฐานไว้ด้านทิศตะวันตกของอุโบสถ)
ในปีพ.ศ.๒๕๑๘ พระอาจารย์อุดม อินทวัณโณ เจ้าอาวาสได้ริเริ่มสร้างศาลาการเปรียญสำหรับใช้ประกอบศาสนกิจและใช้ชั้นล่างเป็นที่สอนพระปริยัติธรรม ซึ่งได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือจากคณะศรัทธาญาติโยมเป็นอย่างดี ซึ่งในขณะนั้นมีมัคนายกคือพ่อใหญ่ที อาบสุวรรณ และผู้ใหญ่บ้านบุญมา เชื้อเพชรได้ร่วมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการพัฒนาก่อสร้างศาลาการเปรียญจนสำเร็จในปีพ.ศ.๒๕๒๓ และท่านเจ้าคุณพระราชพุทธิมุนี ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานีได้เมตตาให้ชื่อว่า ศาลาสังฆาประชานิมิต
เมื่อการก่อสร้างศาลาการเปรียญสำเร็จแล้ว ในคืนวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน  ๒๕๒๓ ท่านพระอาจารย์อุดม อินทวัณโณ เจ้าอาวาส ได้จัดประชุมชาวบ้านประอบด้วยพ่อใหญ่ที อาบุสวรรณ มัคนายก พ่อใหญ่สุเวทย์  วันธงชัย ผู้ใหญ่บ้านในขณะนั้น พร้อมด้วยชาวบ้านอีก ๓๓ คน ได้หารือเกี่ยวกับการก่อสร้างอุโบสถขนาดความกว้าง ๖ เมตร ยาว ๑๘ เมตร สูง ๑๒ เมตร ยกฐานสูง ๒ เมตร หลังคาทรงไทยขึ้น  และได้ทำการวางศิลาฤกษ์ในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ โดยมีท่านพระราชพุทธิมนี เจ้าคุณสิงห์ เจ้าคณะจังหวัดอุดรธานีในขณะนั้นได้เมตตากำหนดจุดที่สมควรก่อสร้างอุโบสถ และเป็นองค์ประธานสงฆ์ในการประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ด้วย
ในปีพ.ศ.๒๕๒๕ เจ้าของกิจการในจังหวัดอุดรธานีได้นำพระพุทธรูปทองเหลืองขนาดหน้าตักกว้าง ๑.๗๕ เมตรมาถวายสำหรับเป็นพระประธานในอุโบสถ ซึ่งสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ได้ประทานชื่อว่า “หลวงพ่อเพชรมณี” 
ในปีพ.ศ.๒๕๒๘ พระอาจารย์อุดม อินทวัณโณได้ขอที่ดินคุณแม่ชาตรี วันธงชัยเพิ่มพื้นที่หน้าอุโบสถให้เพียงพอกำหนดเขตพระราชทานวิสุงคามสีมา และพ่อใหญ่คำวาฬ  พระสลัก ได้ซื้อที่ดินคุณแม่อ่อน ใจสุข บริเวณต่อหน้าอุโบสถส่วนที่ติดถนนเพื่อขยายบริเวณวัดออกไปให้สวยงาม
ในปีพ.ศ.๒๕๓๑ ลูกหลานคุณยายบุดดี คุณตาหอม พรหมินทร์ได้จัดสร้างกุฏิสงฆ์ยกพื้นสูง ขนาด ๔ ห้องพร้อมห้องน้ำ ๑ ห้อง ๑ หลัง และกุฏิสงฆ์ขนาด ๑ ห้องพร้อมห้องน้ำ ๑ หลัง
ในปีพ.ศ.๒๕๓๓ คุณพ่อบุญมี สิทธิบุญ ได้นำญาติพี่น้องสร้างศาลาอเนกประสงค์ขึ้นอุทิศแด่พ่อใหญ่พรหมา ขุลีหลาย และในปีเดียวกัน ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๕ ธันวาคม พระอธิการอุดม อินทวัณโณ ก็ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี มีราชทินนามว่า “พระครูอินทสารวิมล”  
ปีพ.ศ.๒๕๓๕ คณะลูกหลานคุณยายบุ่น       แสงกระจ่างได้มีจิตศรัทธาสร้างกุฏิสงฆ์ขนาดเล็กเพิ่มขึ้น ๒ หลัง
ได้ทำการก่อสร้างอุโบสถแล้วเสร็จสิ้นในปีพ.ศ.๒๕๓๖
ในปีพ.ศ.๒๕๓๗ พ่อทองรักษ์ เพชรเขียว คุณพ่อทัศน์ แสงกระจ่าง มัคนายก คุณพ่อประสาท บุญเวิน กำนันตำบลหนองขอนกว้างในขณะนั้น พร้อมด้วยคณะศรัทธาญาติโยมได้เห็นชอบให้จัดซื้อที่ดินด้านทิศตะวันตกเนื้อที่ ๒ ไร่ เพิ่มเติมสำหรับเป็นฌาปณสถาน และได้ก่อสร้างเมรุถาวร และสร้างเสร็จในปีพ.ศ.๒๕๔๐ จากนั้นคุณพ่อทองเลื่อน อาบสุวรรณ พร้อมพี่น้องลูกหลานได้สร้างศาลาธรรมสังเวชอุทิศถวายเป็นกุศลแด่พ่อใหญ่ที แม่ใหญ่ผึ้ง อาบสุวรรณ ๑ หลัง
ปีพ.ศ.๒๕๓๙ คุณพ่อทองรักษ์ คุณยายอ่อนศรี เพชรเขียว ได้มีศรัทธาสร้างกุฏิสงฆ์ขึ้น ๑ หลัง
ปีพ.ศ.๒๕๔๐ คุณพ่อประทีป คุณแม่ทา แสงกระจ่างได้สร้างอาคารห้องน้ำสงฆ์ขึ้นขนาด ๒ ห้องมาตรฐาน
และคุณแม่กล้วย  คุณพ่อวิเชียร   ศีรโคตร ได้สร้างกุฏิไม้อีก ๑ หลัง
ต่อมาในปีพ.ศ.๒๕๔๒ วัดประดู่คำธเนตรนิมิตก็ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๒ ซึ่งนายอำเภอเมืองอุดรธานี ได้มาทำการปักเขตวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๔๓
ปีพ.ศ.๒๕๔๔ คุณพ่อร้อยตรี วันทอง  สร้างกุฏิอินทสารวิมล ถวายเนื่องในโอกาส ๖๘ ปีพระครูอินทสารวิมล
ในวันที่ ๗ – ๑๒ เมษายน ๒๕๔๕ ทางวัดประดู่คำธเนตรนิมิตจึงได้ทำการฉลองอุโบสถตัดลูกนิมิต
ปีพ.ศ.๒๕๔๖ คุณแม่รำไพร สีนาค สร้างกุฏิก่ออิฐถือปูน ๑ หลัง
ปีพ.ศ.๒๕๔๙ คุณแม่แสงเดือน ทามั่น ได้สร้างกุฏิ ๑ หลัง
ปีพ.ศ.๒๕๕๐ คุณแม่กล้วย  คุณพ่อวิเชียร   ศีรโคตร ได้สร้างกุฏิอีก ๑ หลัง ที่บริเวณฌาปณสถานของวัด ต่อมาคุณตาร้อยตรีตุ๊  พรหมมา สร้างกุฏิเพิ่มต่อกันมาอีก ๑ หลัง และเมื่อคุณตาร้อยตรีตุ๊ พรหมมาถึงแก่กรรม ลูกหลานได้สร้างกุฏิอนุสรณ์อีก ๑ หลัง
ปีพ.ศ.๒๕๕๔ ลูกหลานคุณพ่อพัน   คุณแม่สง่า สีแสงน้อย    ได้สร้างกุฏิคอนกรีตแทนกุฏิไม้เก่าที่ชำรุด
ปีพ.ศ.๒๕๕๔ พ่อน้อย สารีโท ได้ขอศรัทธาจากพระครูสุวัฒน์กิตติสาร (พระอาจารย์ จรัญ กิตติสาโร) เจ้าอาวาสวัดสระมะเกลือ ลพบุรี บุตรชายให้มาจัดสร้างหอระฆังและสร้างสำเร็จในปีพ.ศ.๒๕๕๕
วัดประดู่คำธเนตรนิมิต นอกจากเป็นธรรมสถานศูนย์รวมศรัทธาของชาวบ้านแล้ว ยังเป็นสถานที่อบรมกุลบุตรกุลธิดา มีท่านหลวงปู่พระครูอินทสารวิมล (อุดม อินทวัณโณ) เป็นผู้นำศรัทธามากว่า ๔๘ ปี ได้ทุ่มเทในการพัฒนาวัด สั่งสอนอบรมลูกหลาน สร้างคน สร้างถาวรวัตถุขึ้นมากมาย ทำให้มีการพัฒนามาโดยลำดับจนเป็นวัดมีอุโบสถเป็นพุทธาวาส ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาโดยสมบูรณ์ มีศาลาการเปรียญเป็นธรรมาวาสและใช้เป็นทั้งอาคารเรียนพระปริยัติธรรม และประชุมสัมมนาของตำบล มีกุฏิสงฆ์เป็นสังฆาวาสมั่นคงและเพียงพอกับพระภิกษุสามเณรจำพรรษาได้ปีละกว่า ๒๐ รูป มีห้องน้ำและศาลาที่พักสำหรับญาติโยมผู้เดินทางไกลได้พักพิง มีเมรุสำหรับประกอบพิธีฌาปณกิจ และนอกจากนั้นหลวงปู่พระครูอินทสารวิมล (อุดม  อินทวัณโณ) เจ้าอาวาสยังมีส่วนสำคัญในการพัฒนาชุมชน ตัวอย่างที่สำคัญอันได้แก่การแยกคุ้มบ้านน้อยหน้าสถานีขึ้นเป็นหมู่บ้านในปีพ.ศ.๒๕๒๘ ได้นำเอาชื่อของท่านไปตั้งเป็นชื่อหมู่บ้าน “อุดมพัฒนา” อีกด้วย
สำหรับในปีพ.ศ.๒๕๕๗ หลวงปู่พระครูอินทสารวิมล (อุดม อินทวัณโณ) ได้มรณภาพ คณะสงฆ์และศรัทธาญาติโยม ได้อาราธนานิมนต์ท่านพระอาจารย์เขตต์  ฐิตวิริโย ศิษยานุศิษย์รุ่นสุดท้ายของท่านและเป็นผู้ดูแลอาพาธของท่าน เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาส ต่อมา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานไว้ ณ วัดประดู่คำธเนตรนิมิต อีกด้วย ปูชนียวัตถุสำคัญของวัดในปัจจุบันจึงได้แก่ พระพุทธรูปหลวงปู่ทอง มีพุทธานุภาพในการปกป้องคุ้มครองภัยอันตราย พระพุทธรูปหลวงพ่อเพชรมณี มีพุทธนุภาพในด้านการอำนวยพรให้สำเร็จสมความปรารถนา และพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อความมั่นคงทางจิตใจมีพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง และกำลังใจแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม
ข้อมูลที่นี่ บ้านเซ

วิธีการชำระเงิน

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาปตท.ถนนกาญจนาภิเษก 2 ออมทรัพย์

JEWELRY-ANTIQUE-AMULET

ระบบสมาชิก

สถิติร้านค้า

หน้าที่เข้าชม4,446,214 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด3,382,512 ครั้ง
เปิดร้าน4 ก.พ. 2558
ร้านค้าอัพเดท6 ก.ย. 2568

ติดต่อเรา

ติดตามสินค้า

พูดคุย-สอบถาม