“พระถ้ำเสือ” เป็นชื่อเรียกพระเครื่องชนิดหนึ่งที่เป็นพระดินเผา ขนาด จิ๋ว เล็ก กลาง ใหญ่ พุทธลักษณะไม่ค่อยงามเท่าใดนัก แต่มีความลึกซึ้งในพุทธคุณแฝงอยู่ในองค์พระ
ความเป็นจริงพระถ้ำเสืออาจจะพบก่อนหน้าที่จะมามีชื่อว่า “พระถ้ำเสือ” เมื่อประมาณ 30 ปีมานี้ราษฎรกลุ่มหนึ่งขึ้นไปหามูลค้างคาวบน “เขาคอก” (ชื่อทางราชการ) “ถ้ำเขาเสื้อ” (ชาวบ้านเรียก) พบพระเครื่องเนื้อดินเผาภายในถ้ำเป็นจำนวนมาก จึงเก็บเอามาบ้านแล้วออกตระเวณเที่ยวเร่ขาย ก็ไม่มีผู้ใดสนใจ เพราะพุทธลักษณะไม่งดงามติดตามตรึงใจแก่ผู้ได้พบเห็น
แต่แล้วมีผู้มาเหมาไปในราคาองค์ละ 5บาท จำนวน 100องค์ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมากในสมัยโน้น
ต่อมามีผู้ประสบการณ์บ่อยครั้งจึงเกิดความนิยมเรื่อยๆมา ค่อยๆเขยิบราคาจากองค์ละ 5บาท เป็น 25บาท แล้วกลายเป็น ร้อย พัน หมื่น และไม่น่าเชื่อขึ้นถึงแสนบาท
พระถ้ำเสือ พบที่อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีแต่เพียงแห่งเดียว พบตามป่าเขาลำเนาไพร ถ้ำต่างๆ
เท่าที่ได้สอบถามนักนิยมพระเครื่องรุ่นแรกของอำเภออู่ทองบอกว่ามีอยู่ในราว 12กรุ คือ
1.วัดเขาพระ (วัดพระศรีสรรเพชญาราม)
2.วัดเขาพระ (บ้านจร้าเก่า-จร้าใหม่)
3.เขากระจิว
4.เขานกจอด
5.เขาวงพาทย์
6.เขากำแพง (เป็นภูเขาไฟ ซึ่งดับมานานนับร้อยพันปี เพิ่งค้นพบเมื่อต้นปี พ.ศ.2535)
7.เขาวง (บนยอดเขามีถ้ำเล็ก ผนังถ้ำมีภาพเขียนสีเป็นรูปดอกไม้ และธรรมจักร สันนิษฐานว่าเป็นภาพเขียนยุคสมัยทวารวดี มีความหมายถึงอริยสัจสี่ และมรรคแปด)
8.วัดดอนบุป
9.ผาราม
10.วัดหลวง
11.เขาหนองกุฏิ
12.วัดเขาดีสลัก (พบพระทุทธบาทสมัยทวารวดี)
พระถ้ำเสือ สมัยทวารวดี แต่ก่อนสันนิษฐานกันว่าพระถ้ำเสือเป็นพระที่สร้างในสมัยอยุธยา จากการพบหลักฐานต่างๆ และกรณีแวดล้อมต่างๆ ทำให้เชื่อว่าพระถ้ำเสือเป็นพระที่สร้างในสมัยทวารวดี พุทธลักษณของพระถ้ำเสือที่บ่งชัดว่าเป็นศิลปะทววารวดี คือ
- พระนลาฎแคบ
- พระเนตรโปน
- พระนาสิกป้าน
- พระโอษฐ์กว้าง
แต่บางองค์แคบ พุทธศิลป์ดังกล่าวเป็นศิลปะของทวารวดีอย่างชัดแจ้ง หาใช่ศิลปะของพุทธศิลปะสมัยอยุธยาไม่
ตามทางสันนิฐานของข้าพเจ้าคาดว่าพระภิกษุในสมัยทวารวดีในลักทธิหินยาน หรือเถรวาทเป็นผู้สร้าง
โดยหลักฐานที่ไม่สามารถจะเถียงหรือคัดค้านได้ คือ
พระถ้ำเสือซึ่งพบที่วัดหลวงบางองค์ฝังจมอยู่ในแผ่นอิฐขนาดใหญ่ ต้องถึงกับทุบแตกจึงจะเอาพระออกจากอิฐได้ สีของพระที่ได้จากแผ่นอิฐมีสีแดงเช่นเดียวกับของอิฐ
ข้าพเจ้าถามผู้พบพระถ้ำเสือในแผ่นอิฐถึงสองคน กล่าวตรงกันว่าแผ่นอิฐที่ฝังพระนั้นมีขนาดใหญ่มาก ยาวไม่น้อยกว่า 12-13นิ้ว กว้าง 6นิ้ว และหนา3นิ้วเศษ คิดเป็นปริมาตรแล้วมีขนาดใหญ่กว่าที่ใช้ก่อสร้างในสมัยอู่ทอง ไม่น้อยกว่า 3เท่า ใหญ่กว่าอิฐในสมัยอยุธยาไม่น้อยกว่า 4-5เท่า จึงควรเชื่อว่าแผ่นอิฐขนาดใหญ่ที่มีพระฝังคมนั้นเป็นอิฐที่สร้างในสมัยทวารวดี
ดังนั้น พระถ้ำเสือซึ่งฝังจมอยู่ในอิฐก็ควรจะเป็นพระที่สร้างในสมัยทวารวดีด้วยเช่นกัน
พิมพ์พระถ้ำเสือ มี4พิมพ์
ยุคต้นๆ ของการพบพระถ้ำเสือบนเขาในถ้ำ และวัดต่างๆ มีกี่พิมพ์ ขอนำเอากล่าวไว้พอเป็นสังเขป ดังนี้
พิมพ์จิ๋ว แต่เดิมมิได้มีแบ่งออกเป็นพิมพ์อะไรบ้าง เรียกรวมกันว่า “พิมพ์ต้อ” อย่างเดียวเท่านั้น
พิมพ์เล็ก ถือกันว่ามีพิมพ์หน้าหนุ่ม บ้างก็เรียกหน้าตุ๊กตา และมีพิมพ์หน้าแก่ ซึ่งพบที่วัดหลวง ต่อมาพบอีกพิมพ์หนึ่งเรียกว่า พิมพ์สังฆาฎิ
พิมพ์กลาง มีพิมพ์หน้าหนุ่ม และหน้าฤาษี
พิมพ์ใหญ่ มีขนาดใหญ่เท่ากับพระขุนแผน ไข่ผ่า หรือแตงกวาผ่าของวัดพระรูป แต่ก็มีขนาดย่อมลงมา ไม่มีการแบ่งหน้าแต่อย่างไร
กรุแตก ครั้งล่าสุด!!!!
จังหวัดสุพรรณบุรีจังหวัดเดียวที่มีพระเครื่องพระบูชาแตกกรุบ่อยครั้งที่สุด ในช่วง 3-4เดือน มานี้พบพระร่วงยืน พระร่วงนั่ง ถึง 3-4ครั้ง ล่าสุดกลางเดือนสิงหาคม 2535 พบพระถ้ำเสือแตกกรุที่วัดเขาดีสลักอีกเป็นครั้งที่ 2 หลังจากพบมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อในราว พ.ศ.2520 ครั้งนั้นเป็นการพบอย่างกระจัดกระจาย แต่คราวนี้พบในถ้ำลึก
ชาวบ้านลงไปในถ้ำลึกประมาณ 20เมตร ซึ่งอยู่หน้าถ้ำละมุด บนกระพักสองของวัดเขาดีสลัก หน้าถ้ำละมุดมีรูอยู่รูหนึ่ง กว้างไม่เกิน 1เมตร ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นถ้ำ ถ้าจะลงไปก้นถ้ำต้องค่อยๆ หย่อนตัวลงไปทีละคน ข้างล่างกว้างในราว 6-7เมตร เพานเตี้ยมาก สูงไม่เกิน 70-80ซ.ม. เขาบอกว่าเวลานั่งยองๆ ศีรษะชนเพดานถ้ำ ข้าพเจ้าเคยไปเห็นเมื่อคราวไปสำรวจฝ่าพระพุทธบาทหินที่วัดเขาดีสลัก ชี้ให้เพื่อนที่ไปด้วยกันดูว่า รูอะไร และพูดว่าคงไม่กล้าลงไป กลัวจะไปพบงูลากเอากิน
ถ้ำลึกและแคบ ชาวบาน จุดตะเกียงแก๊สลงไป ใช้ไฟฉายไม่มีแสงสว่าง เพราะภายในนถ้ำไม่มีฝุ่นเป็นสือทำให้แสงไฟฉายพุ่งเป็นลำแสง ก็นับว่าอันตราไม่น้อย เพราะแก๊สเป็นตัวทำลายออกซิเจนให้หมดไปโดยเร็ว อาจจะไม่มีอากาศหายใจและเป็นลมสลบไปได้
เขาพบพระอยู่กับพื้นถ้ำ จึงใช้มือกอบโกย.