ประวัติ
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ มีนามเดิมว่า วีระ รอดบำเรอ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเมีย จุลศักราช 1292 รัตนโกสินทรศก 148 ตรงกับวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2473 โยมบิดาชื่อ นายลี รอดบำเรอ โยมมารดาชื่อ นางมา รอดบำเรอ ภูมิลำเนาอยู่บ้านป่าฝ้าย หมู่ที่ 4 ตำบลเขาแร้ง อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี
บรรพชา
ณ วัดเขาวังสะดึง ตำบลเขาแร้ง อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เมื่ออายุ 16 ปี เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 ตรงกับวันอาทิตย์ แรม 7 ค่ำ เดือน 8 ปีระกา จุลศักราช 1307 โดยมีเจ้าอธิการวงศ์ ธมฺมปาโล วัดเกาะลอย เจ้าคณะคณะตำบลเกาะพลับพลา เขาแร้ง เป็นพระอุปัชฌาย์บรรพชาแล้วสังกัดอยู่ที่วัดโสคาประดิษฐาราม (เขาแร้ง) ตำบลเข้าแร้ง อำเภอเมืองราชบุรี โดยมีพระอธิการนกเป็นอาจารย์ผู้ปกครองได้ศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกนักธรรมชั้นตรี และสอบได้ในปีนั้น ในปี พ.ศ. 2487 ประมาณเดือนมีนาคม พระอธิการนก อาวาสวัดโสคาประดิษฐารามลาสิกขา พระครูวิสุทธิสมณวัตร (แย้ม กนตฺสิโล) เจ้าอาวาสวัดท้ายเมือง ซึ่งเป็นผู้ปกครองลงในสมัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมได้เจรจาขอสามเณรวีระต่อโยมบิดาเพื่อจะส่งให้ศึกษาเล่าเรียนที่กรุงเทพ โยมบิดาก็อนุญาตด้วยดี ท่านพระครูฯ จึงกำหนดวัน ส่งไปศึกษาเล่าเรียนย้ายสำนักสามเณรวีระพร้อมด้วยโยมบิดาได้เดินทางออกจากบ้านในวันพฤหัสบดี แรม 8 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก ตรงกับวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 พักแรมที่วัดท้ายเมืองหนึ่งคืน รุ่งขึ้นท่านพระครูวิสุทธิสมณวัตร พาเข้ากรุงเทพฯ โดยทางรถไฟ ขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟราชบุรีมาลงที่สถานีบางกอกน้อยแล้วลงเรือข้ามฟากขึ้นที่ท่าพระจันทร์นั่งรถรางสายรอบเมืองไปลงที่ประตูสำราญราษฏร์ประตูผี ท่านพระครูฯ ได้นำไปฝากไว้ที่วัดเทพธิดาราม อยู่ในปกครองของพระมหาพลอย ญาณสํวโร ปธ. 6 ในสมัยนั้น
อุปสมบท
ณ พัทธสีมาวัดเทพธิดาราม ตำบลสำราญราษฏร์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เมื่ออายุ 20 ปี ในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 โดยมีพระมงคลธรรมรังสี (ปาน อินฺทโชโต) เจ้าอาวาสวัดเทพธิดาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระราชธรรมเสนานี (ศุข สุภทฺโท ป.ธ. 4) วัดมหาธาตุวรวิหาร เจ้าคณะจังหวัดราชบุรี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระวิสุทธิโสภณ (ปลอด กมุทฺโท ป.ธ. 9) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ สำร็จเป็นพระภิกษุด้วย ญัตติจตุตถกรรมวาจา เวลา 14.25 น. อยู่จำพรรษาที่วัดเทพธิดารามตลอดมา จนถึงวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2507 จึงย้ายเข้ามาอยุ่วัดสุทัศนเทพวราราม
สมณศักดิ์
พ.ศ. 2508 ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ที่ พระศรีวิสุทธิวงศ์,(สป.) นับเป็นองค์ที่ 2 แห่งวัดสุทัศนเทพวราราม
พ.ศ. 2514 ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชเมธี ศรีประสาธน์สุตาคม อุดมปฏิปกร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี นับเป็นองค์ที่ 11 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พ.ศ. 2523 ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพเวที ตรีปิฎกคุณ สุนทรธรรมภูษิต ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. 2530 ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมปิฏก อดุลญาณนายก ดิลกศาสนกิจ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. 2535 ได้รับสถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองชั้นหิรัญบัฏ ที่ พระวิสุทธาธิบดี ศรีพิพัฒนาภรณ์ สุนทรศีลาจาร ธรรมโวทานธารี ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี (นับเป็นองค์ที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)
พ.ศ. 2553 ได้รับสถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏ ที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุลสุนทรนายก ปริยัติดิลกศีลาจารนิวิฐ พิพิธกิจจานุกิจวิธาน ศาสนภารประสิทธิ์ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี
มรณภาพ
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ อาพาธจากอาการเส้นโลหิตในสมองแตกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพเป็นระยะ ต่อมามีโรคมะเร็งลำไส้และโรคไตแทรกซ้อน จนกระทั่งมรณภาพจากอาการติดเชื้อในกระแสโลหิตเมื่อวันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลาประมาณ 9.00 น. ณ โรงพยาบาลกรุงเทพ สิริอายุได้ 86 ปี 76 วัน
ในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้ นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ไปในการพิธีพระราชทานน้ำหลวงสรงศพสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี) การนี้ทรงพระกรุณาโปรดฯ พระราชทานเครื่องเกียรติยศประกอบศพตามสมณศักดิ์ ประกอบด้วย โกศไม้สิบสอง ฉัตรเครื่องสูง ทองแผ่ลวด และทรงรับศพอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์เป็นเวลา 7 วัน 50 วัน และ 100 วันตามลำดับ
ในวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.30 น. พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส
วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร
ในต้นยุคกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1โปรดเกล้าฯ ให้มีการสร้างวัดขึ้นในพื้นที่พระนครชั้นใน ในปี พ.ศ. 2350 เดิมพระราชทานนามว่า “วัดมหาสุทธาวาส” โดยมีพื้นที่ตั้งอยู่ในดงสะแก เป็นที่ลุ่มจึงโปรดเกล้าฯ ให้ถมที่และสร้างเป็นวัด และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารขึ้นก่อนเพื่อประดิษฐานพระศรีศากยมุนี (พระโต) ซึ่งอัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย แต่สิ้นรัชกาลก่อนที่จะประดิษฐานเป็นสังฆาราม จึงเรียกกันว่า วัดพระโต, วัดพระใหญ่ หรือวัดเสาชิงช้าบ้าง จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อ และทรงจำหลักบานประตูพระวิหารด้วยพระองค์เอง แต่ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จ การก่อสร้างวัด มาเสร็จบริบูรณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. 2390 และพระราชทานนามว่า "วัดสุทัศน์เทพวราราม" ปรากฏในจดหมายเหตุว่า "วัดสุทัศน์เทพธาราม" และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงผูกนามพระประธานในพระวิหาร พระอุโบสถ และศาลาการเปรียญ ให้คล้องกันว่า "พระศรีศากยมุนี", "พระพุทธตรีโลกเชษฐ์" และ "พระพุทธเสรฏฐมุนี"
ต่อมาในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 กรมศิลปากรได้กำหนดเขตโบราณสถานของวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ให้มีพื้นที่โบราณสถานจำนวน 28 ไร่ 76 ตารางวา
ลำดับเจ้าอาวาส
1 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อู่) 2386 — 2401
2 พระพิมลธรรม (อ้น) 2401 — 2420
3 สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) 2420 — 2443*
4 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) 2443* — 2487
5 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โสม ฉนฺโน) 2489 — 2505
6 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม จนฺทสิริ) 2506 — 2527
7 สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี) 2527 — 2559
8 พระพรหมวชิรมุนี (เชิด จิตฺตคุตฺโต) 2559 — ปัจจุบัน
ข้อมูลวิกิพีเดีย