วัดราษฎร์บรรจง ตั้งอยู่ที่บ้านตาดง ตำบลลำตาเสา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นวัดที่มีประวัติยาวนานและมีความสำคัญในชุมชน.
ประวัติและข้อมูลทั่วไป
วัดราษฎร์บรรจง (ตาดง) สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีพื้นที่ตั้งวัดประมาณ 20 ไร่ โดยมีอาคารเสนาสนะต่าง ๆ เช่น อุโบสถและศาลาการเปรียญ อุโบสถมีขนาดกว้าง 3 เมตร ยาว 10 เมตร สร้างด้วยไม้ ส่วนศาลาการเปรียญมีขนาดกว้าง 10 เมตร ยาว 15 เมตร สร้างด้วยคอนกรีต.
วัดนี้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 253 โดยมีนายดง กสิกร เป็นผู้ริเริ่มชักชวนชาวบ้านร่วมกันสร้างวัด โดยที่ดินที่สร้างวัดเป็นของนายจรุณและนางกิมล์ กิจจาทร.
เจ้าอาวาสปกครองวัด
๑ พระอาจารย์แจ้ง
๒ พระอาจารย์เอียง
๓ พระอาจารย์พยอม
๔ พระอาจารย์รอด
๕ พระอาจารย์เชื้อ
๖ พระอาจารย์กลม
๗ พระอาจารย์ทองใบ
๘ พระอธิการหนู
๙ พระครูอภิรมศาสนกิจ ๒๕๖๘
พระฤๅษีประไลยโกฏิ
พระฤๅษีพระองค์นี้บำเพ็ญตบะสร้างบารมีอยู่ในป่า เพื่อหวังสำเร็จฌานบารมีแล้วจะได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ ตั้งใจปฏบัติกรรมฐานบำเพ็ญพรตด้วยความมานะพยายาม มุ่งมั่นในนิพพานอย่างเดียวด้วยในระหว่างนั้นมวลมนุษย์ทั้งหลายกำลังเดือดร้อน และกังวลเรื่องอาหารการกินมนุษย์ทุกคนต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งของเพื่อประทังความหิวโหยแต่ก็รู้สึกว่าจะหายากเหลือเกินแม้แต่องค์พระฤๅษีประไลยโกฏิเองก็เถอะ ท่านก็ยังมิวายกังวลห่วงใยประชาชนเหล่านั้นเช่นเดียวกัน มองหาช่องทางใดก็ไม่มีความสามารถช่วยได้ จึงต้องนิ่งบำเพ็ญพรตต่อไปด้วยอภินิหารและบุญญาธิการของท่านจึงปรากฏเหตุการณ์มหัศจรรย์ขึ้นมา พายุใหญ่พัดกระหน่ำรุนแรงต้นไม้ใหญ่น้อยหักระเนระนาดต่อจากนั้นฝนก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักทำให้น้ำท่วมขังรอบๆอาศรมของพระฤๅษี แล้วทั้งพายุและฝนก็สงบลงไปในที่สุดเหตุการณ์อภินิหารในครั้งนี้ก็มีเมล็ดข้าวสาลีปลิวมากับพายุฝนนั้นตกลงมาแถวบริเวณหน้าอาศรมตั้งแต่เชิงบันไดไปจนถึงสระน้ำเมล็ดข้าวสาลีฝังอยู่ในดินที่มีน้ำท่วมอยู่นั้นก็เริ่มกระเทาะเปลือกแตกออกมาเป็นต้นงอกงามเขียวชอุ่มไปทั่วบริเวณ มองดูสวยงามยิ่งนัก พระฤๅษีประไลยโกฏิก็มีความปลื้มปิติยิ่งนักจึงเฝ้าดูต้นไม้ที่ยังไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไรเหล่านั้น
จนกระทั่งต้นข้าวแตกรวง และสุกเหลืองอร่ามในเวลาต่อมา ทั้งยังส่งกลิ่นหอม พระฤๅษีก็มีความยินดีรำพึงกับตนเองว่า"มันเป็นผลอะไรกันหว่า ช่างมีกลิ่นหอมยวนใจเหลือเกินไม่รู้ว่ามนุษย์จะกินได้หรือเปล่า เราจะต้องคอยดูว่าจะมีนกกาหรือสัตว์อื่นใดมากินหรือไม่ ถ้านกกากินได้มนุษย์ก็กินได้เมื่อนั้นมนุษย์ก็จะมีอาหารการกินเพิ่มขึ้น" แล้วพระฤๅษีก็เฝ้าดูอยู่เงียบๆต่อมาอีกไม่นานก็มีนกกระจาบตัวน้อยๆ ไม่รู้ว่าบินมาจากไหนได้ลงมาจิกกินเมล็ดข้าวสาลีจนอิ่มและก่อนบินกลับมันยังคาบเอารวงข้าวสาลีกลับไปด้วย แล้วอีกไม่นาน ก็มีนกกระจาบฝูงใหญ่พากันบินลงมาที่ต้นข้าวสาลีต่างพากันจิกกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่งเสียงร้องดังเจี๊ยวจ๊าวจ้อกแจ้กจอแจ ฟังไม่ได้สรรพ เมื่อพวกมันกินอิ่มแล้ว ก่อนกลับทุกตัวยังคาบเอารวงข้าวสาลีกลับไปด้วย
พระฤๅษีเห็นเช่นนั้นก็ดีใจ คิดในใจว่า ต่อไปนี้มวลมนุษย์จะไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องอาหารการกินอีกแล้วเพราะจะมีอาหารเพิ่มขึ้น รอจนกองทัพนกกระจาบไปหมดแล้ว พระฤๅษีก็ลงจากอาศรมเก็บรวบรวมเอารวงข้าวสาลีขึ้นมาไว้ในอาศรม เพื่อจะได้ขยายพันธุ์ต่อไปให้ได้มากๆ จะได้พอเพียงกับความต้องการของมนุษย์ ในปีต่อมาพอถึงฤดูกาลที่ฝนตกลงมา พระฤๅษีท่านก็ไถนาแล้วเอาเมล็ดข้าวสาลีหว่านไปทั่วพื้นดิน พอออกรวงก็เก็บเอามาไว้เป็นพันธุ์ ท่านทำอย่างนี้ทุกปีจนพันธุ์ข้าวสาลีมากขึ้นพอกับความต้องการ
ก็นับได้ว่าพระฤๅษีประไลยโกฏิท่านมีบุญคุณกับมวลมนุษย์อย่างมากมายในด้านของโภชนาการหากท่านไม่สนใจหรือถือว่าธุระไม่ใช่ไม่เก็บพันธุ์ข้าวสาลีเอาไว้ ป่านนี้ก็อาจจะสูญพันธุ์ไปแล้วก็ได้เพราะนกกระจาบฝูงใหญ่และความรอบคอบของพระฤๅษีกับความปรารถนาดีของท่านจึงทำให้มนุษย์มีข้าวสาลีเป็นอาหารมาจนทุกวันนี้ นี่แหละคือฝีมือของพระฤๅษีทำนาองค์นี้แหละ ควรที่พวกเราจะต้องกราบไหว้รำลึกถึงคุณความดีของท่านตลอดไป